หมวดหมู่: หุ้นเด่นวันนี้
6
ภาวะตลาดหุ้นไทย: แนวโน้มดัชนีเช้านี้ซึมลง เล็งกลุ่มพลังงานกดดันหลังราคาน้ำมันร่วงแรง-ดอลลาร์สหรัฐฯแข็งค่าหนุนเงินทุนยังไหลออก
นายกิจพณ ไพรไพศาลกิจ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์และนักกลยุทธ์ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดว่าจะซึมลงไปทดสอบ 1,685 จุด โดยคาดว่าจะได้รับแรงกดดันจากหุ้นในกลุ่มพลังงานหลังราคาน้ำมันปรับตัวลงแรง จากการคาดการณ์ว่าการประชุมกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) ในวันที่ 22 มิ.ย.นี้ ทางกลุ่มโอเปกจะเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมัน
อย่างไรก็ดี ยังคาดหวังแรงหนุนจากหุ้นในกลุ่มอื่นจากการทำ Window Dressing ก่อนปิดงบฯไตรมาส 2/61 และกลุ่มแบงก์ก็มองว่าราคาหุ้นได้สะท้อนงบฯไปล่วงหน้าแล้ว รอบนี้กลุ่มแบงก์อาจจะมาช่วยหนุนตลาดฯได้บ้าง ส่วนกลุ่มพลังงานได้เห็น Downside ราว 3-5% จากราคาปิดเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ซึ่งมองว่าหากราคาหุ้นในกลุ่มพลังงานอ่อนตัวลงมา 3-5% ก็เป็นระดับที่น่าสนใจลงทุน
ด้านตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้ส่วนใหญ่จะติดลบ เป็นผลมาจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวลง และการแข็งค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐฯที่กดดันให้เงินทุนยังคงไหลออก
พร้อมให้แนวรับ 1,685 จุด ส่วนแนวต้าน 1,710 จุด
ประเด็นพิจารณาการลงทุน
- ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (15 มิ.ย.61) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 25,090.48 จุด ลดลง 84.83 จุด (-0.34%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,779.66 จุด ลดลง 2.83 จุด (-0.10%), ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,746.38 จุด ลดลง 14.66 จุด (-0.19%)
- ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น ลดลง 45.18 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ เพิ่มขึ้น 0.64 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ ลดลง 42.65 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซีย ลดลง 16.20 จุด
ส่วนตลาดหุ้นจีน ตลาดหุ้นฮ่องกง และตลาดหุ้นไต้หวัน ปิดทำการวันนี้ เนื่องในเทศกาลขนมจ้าง (Tuen Ng Festival)
- ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (15 มิ.ย.61) 1,704.82 จุด ลดลง 5.04 จุด (-0.29%)
- นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 7,460.12 ล้านบาท เมื่อวันที่ 15 มิ.ย.61
- ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.ค.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (15 มิ.ย.61) ปิดที่ 65.06 ดอลลาร์/บาร์เรล  ร่วงลง 1.83 ดอลลาร์ หรือ 2.7%
- ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (15 มิ.ย.61) ที่ 4.95 ดอลลาร์/บาร์เรล
- เงินบาทเปิด 32.61 อ่อนค่าในรอบเกือบ 6 เดือน ประเมินกรอบเคลื่อนไหววันนี้ 32.50-32.75
- รฟท.เตรียมเปิดพีพีพี เอกชนร่วมทุน กิจการรัฐ พัฒนาสถานีกลางบางซื่อ ไตรมาส 3 นี้ นำร่อง โซน A พื้นที่เชิงพาณิชย์ 16 ไร่ เงินลงทุนหมื่นล้านบาท มั่นใจ กลุ่มห้างสรรพสินค้าสนใจประมูลหลายราย เล็งประมูลพื้นที่โซน E ระยะต่อไปรองรับพัฒนาอาคารหน่วยงานราชการ
- จับตาเปิดขายซองชิงดำประมูลรถไฟฟ้าเชื่อม 3 สนามบิน ขับเคลื่อนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานหลักใน "อีอีซี" มูลค่า 2 แสนล้านบาท วันแรก (18 มิ.ย.) "อุตตม" เชื่อมั่นเอกชนจะให้ความสนใจ ด้าน ปตท. ยังอุบท่าทีจับมือ บีทีเอส ร่วมซื้อซองหรือไม่ คาดมีประมาณ 4 กลุ่มลงทุน
- ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เผยการที่ไม่มีผู้ประกอบการยื่นประมูลคลื่นโทรศัพท์ 1800 MHz ถือเป็นเรื่องน่าประหลาดใจ อย่างไรก็ตาม คาดว่ากสทช.จะต้องมีการเปิดประมูลใหม่ เพราะคลื่นดังกล่าวเป็นการเตรียมพร้อมไว้สำหรับอนาคตให้กับผู้ประกอบการ
- ตลาดหลักทรัพย์ฯจัดทำ 2 ดัชนีใหม่ SETTHSI เพื่อการลงทุนในหุ้นยั่งยืน และดัชนี SETCLMV สะท้อนความเคลื่อนไหวของหุ้นไทยที่ได้รับประโยชน์จาก CLMV
*หุ้นเด่นวันนี้
- กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ (KCE, HANA, SVI) (กรุงศรี)"เก็งกำไร"ค่าเงินบาทอ่อนค่าคาดกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ได้ประโยชน์มากสุด เนื่องจากมีโครงสร้างรายได้ส่วนใหญ่กว่า 80% เป็นค่าเงินดอลลาร์ ส่งผลให้รายได้เมื่อแปลงเป็นเงินบาทมีแนวโน้มสูงขึ้น โดยหุ้นที่คาดว่าจะได้ประโยชน์มากที่สุดของกลุ่มคือ KCE (เป้า สูงสุด Consensus 44), HANA(เป้า 39) และ SVI(เป้าสูงสุด Consensus 4.9) โดย KCE เป็น TOP Pick
- MTC (ฟินันเซีย ไซรัส) "ซื้อ"เป้า 51 บาท แนวโน้มการเลื่อนเสนอร่างกฎหมาย Non-bank เป็น sentiment บวก แต่ถึงไม่เลื่อนก็ไม่เป็นปัญหา ด้านราคาหุ้นที่ปรับลงไปถึง 32.50 บาทสิ้นเดือนก่อนได้สะท้อนอัตราดอกเบี้ยเรียกเก็บที่ 16% ไปแล้ว ถือว่า priced in ข่าวลบไปเกือบทั้งหมดเพราะดอกเบี้ยที่เรียกเก็บใหม่น่าจะ 15% + ค่า fee อื่นๆ แนวโน้มกำไรน่าจะทำจุดสูงสุดใหม่ได้ทุกต่อเนื่องโดยเฉพาะ 2H61 ที่เป็น High season ของการปล่อยสินเชื่อ
- CPF (เมย์แบงก์ กิมเอ็ง) "เก็งกำไร" คาดผลประกอบการปกติพลิกจากขาดทุนมาเป็นกำไรใน Q2/61 เนื่องจากเข้าสู่ไฮซีซั่นของการส่งออก และราคาหมูเฉลี่ยในไทยฟื้นตัวราว 29% QoQ มาที่ 60 บาท/กก. ราคาหมูในเวียดนามฟื้นตัว 30% QoQ และกว่า 70% YoY มาที่ 40,000 VND/กก.
ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวลงเช้านี้ นักลงทุนวิตกข้อพิพาทการค้าจีน-สหรัฐ
ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวลดลงในเช้าวันนี้ ตามทิศทางดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กที่ปิดปรับตัวลงเมื่อวันศุกร์ เนื่องจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับการทำสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน หลังจากรัฐบาลสหรัฐประกาศบัญชีรายการสินค้านำเข้าจากจีนที่จะถูกเรียกเก็บภาษี 25% ขณะที่รัฐบาลจีนก็ได้ออกมาตรการตอบโต้ในลักษณะเดียวกัน
ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ที่ 22,806.57 จุด ลดลง 45.18 จุด, -0.20% ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้เปิดวันนี้ที่ 2,404.68 จุด เพิ่มขึ้น 0.64 จุด, +0.03% ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์เปิดวันนี้ที่ 3,314.08 จุด ลดลง 42.65 จุด, -1.27% ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียเปิดวันนี้ที่ 1,745.58 จุด ลดลง 16.20 จุด, -0.92%
ส่วนตลาดหุ้นจีน ตลาดหุ้นฮ่องกง และตลาดหุ้นไต้หวัน ปิดทำการวันนี้เนื่องในเทศกาลขนมจ้าง (Tuen Ng Festival)
ทั้งนี้ ทำเนียบขาวได้ประกาศบัญชีรายการสินค้านำเข้าจากจีนมูลค่า 5 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งจะถูกเรียกเก็บภาษี 25% เพื่อตอบโต้การที่จีนขโมยทรัพย์สินทางปัญญาของสหรัฐ
สำนักงานตัวแทนการค้าสหรัฐ (USTR) แถลงว่า อัตราภาษีดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้ต่อสินค้าจำนวน 1,100 รายการของจีน โดยสินค้าล็อตแรกจำนวน 818 รายการ มูลค่า 3.4 หมื่นล้านดอลลาร์ จะถูกเรียกเก็บภาษีในวันที่ 6 ก.ค. ขณะที่สินค้าล็อตที่ 2 กำลังอยู่ระหว่างการพิจารณา
หลังจากทางการสหรัฐออกแถลงการณ์ดังกล่าวได้ไม่นาน รัฐบาลจีนก็ได้ออกมาตอบโต้ด้วยการออกมาตรการเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐจำนวน 659 รายการ โดยเรียกเก็บในอัตรา 25% คิดเป็นมูลค่ารวม 5 หมื่นล้านดอลลาร์
รัฐสภาจีน และคณะกรรมาธิการฝ่ายกิจการศุลกากรแห่งรัฐสภาจีน แถลงว่า อัตราภาษีดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้กับสินค้านำเข้าจากสหรัฐล็อตแรกจำนวน 545 รายการ คิดเป็นมูลค่า 3.4 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งรวมถึงสินค้าด้านการเกษตร ยานยนต์ และสินค้าทางทะเล โดยจะเริ่มมีผลตั้งแต่วันที่ 6 ก.ค.นี้เป็นต้นไป ส่วนการเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจำนวนที่เหลือนั้น จะมีการประกาศหลังจากนั้น
ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน: ฟุตซี่ปิดร่วง 131.88 จุด เหตุวิตกสงครามการค้าสหรัฐ-จีน
ตลาดหุ้นลอนดอนปิดร่วงลงอย่างหนักเมื่อคืนนี้ (15 มิ.ย.) เนื่องจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับการทำสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน หลังจากรัฐบาลสหรัฐประกาศบัญชีรายการสินค้านำเข้าจากจีนที่จะถูกเรียกเก็บภาษี 25% ขณะที่รัฐบาลจีนก็ได้ออกมาตรการตอบโต้ในลักษณะเดียวกัน
ทั้งนี้ ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,633.91 จุด ลดลง 131.88 จุด หรือ -1.70%
นักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน หลังจากทำเนียบขาวประกาศบัญชีรายการสินค้านำเข้าจากจีนมูลค่า 5 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งจะถูกเรียกเก็บภาษี 25% เพื่อตอบโต้การที่จีนขโมยทรัพย์สินทางปัญญาของสหรัฐ
ทั้งนี้ สำนักงานตัวแทนการค้าสหรัฐ (USTR) แถลงว่า อัตราภาษีดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้ต่อสินค้าจำนวน 1,100 รายการของจีน โดยสินค้าล็อตแรกจำนวน 818 รายการ มูลค่า 3.4 หมื่นล้านดอลลาร์ จะถูกเรียกเก็บภาษีในวันที่ 6 ก.ค. ขณะที่สินค้าล็อตที่ 2 กำลังอยู่ระหว่างการพิจารณา
หลังจากทางการสหรัฐออกแถลงการณ์ดังกล่าวได้ไม่นาน รัฐบาลจีนก็ได้ออกมาตอบโต้ด้วยการออกมาตรการเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐจำนวน 659 รายการ โดยเรียกเก็บในอัตรา 25% คิดเป็นมูลค่ารวม 5 หมื่นล้านดอลลาร์
รัฐสภาจีน และคณะกรรมาธิการฝ่ายกิจการศุลกากรแห่งรัฐสภาจีน แถลงว่า อัตราภาษีดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้กับสินค้านำเข้าจากสหรัฐล็อตแรกจำนวน 545 รายการ คิดเป็นมูลค่า 3.4 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งรวมถึงสินค้าด้านการเกษตร ยานยนต์ และสินค้าทางทะเล โดยจะเริ่มมีผลตั้งแต่วันที่ 6 ก.ค.นี้เป็นต้นไป ส่วนการเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจำนวนที่เหลือนั้น จะมีการประกาศหลังจากนั้น
หุ้นกลุ่มเหมืองแร่ร่วงลงเนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน โดยหุ้นแองโกล อเมริกัน ร่วงลง 2.1% หุ้นแรนโกลด์ รีซอสเซส ดิ่งลง 3.1% หุ้นบีเอชพี บิลลิตัน ปรับตัวลง 1.8% และหุ้นเฟรสนิลโล ร่วงลง 1.5%
หุ้นกลุ่มธนาคารร่วงลง โดยหุ้นบาร์เคลย์ส ดิ่งลง 2.4% และหุ้นรอยัล ดัทช์ เชลล์ ร่วงลง 1.9%
ส่วนหุ้นโรลส์รอยซ์ ทะยานขึ้น 8.2% หลังจากบริษัทประกาศแผนปรับลดจำนวนพนักงาน 4,600 รายในช่วง 2 ปีข้างหน้า ตามแผนการปรับโครงสร้างองค์กรครั้งใหญ่
ภาวะตลาดหุ้นยุโรป: หุ้นยุโรปปิดร่วง วิตกสงครามการค้าสหรัฐ-จีน,หุ้นแบงก์ดิ่งหนัก
ตลาดหุ้นยุโรปปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้ (15 มิ.ย.) โดยได้รับแรงกดดันจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับการทำสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน หลังจากรัฐบาลสหรัฐประกาศบัญชีรายการสินค้านำเข้าจากจีนที่จะถูกเรียกเก็บภาษี 25% ขณะที่รัฐบาลจีนก็ได้ออกมาตรการตอบโต้โดยใช้มาตรการในลักษณะเดียวกัน
ดัชนี Stoxx Europe 600 ร่วงลง 1% ปิดที่ 389.13 จุด
ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 13,010.55 จุด ลดลง 96.55 จุด หรือ -0.74% ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 5,501.88 จุด ลดลง 26.58 จุด หรือ -0.48% ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,633.91 จุด ลดลง 131.88 จุด หรือ -1.70%
บรรยากาศการซื้อขายในตลาดหุ้นยุโรปเป็นไปอย่างซบเซา เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน หลังจากทำเนียบขาวประกาศบัญชีรายการสินค้านำเข้าจากจีนมูลค่า 5 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งจะถูกเรียกเก็บภาษี 25% เพื่อตอบโต้การที่จีนขโมยทรัพย์สินทางปัญญาของสหรัฐ
ทั้งนี้ สำนักงานตัวแทนการค้าสหรัฐ (USTR) แถลงว่า อัตราภาษีดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้ต่อสินค้าจำนวน 1,100 รายการของจีน โดยสินค้าล็อตแรกจำนวน 818 รายการ มูลค่า 3.4 หมื่นล้านดอลลาร์ จะถูกเรียกเก็บภาษีในวันที่ 6 ก.ค. ขณะที่สินค้าล็อตที่ 2 กำลังอยู่ระหว่างการพิจารณา
หลังจากทางการสหรัฐออกแถลงการณ์ดังกล่าวได้ไม่นาน รัฐบาลจีนก็ได้ออกมาตอบโต้ด้วยการออกมาตรการเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐจำนวน 659 รายการ โดยเรียกเก็บในอัตรา 25% คิดเป็นมูลค่ารวม 5 หมื่นล้านดอลลาร์
รัฐสภาจีน และคณะกรรมาธิการฝ่ายกิจการศุลกากรแห่งรัฐสภาจีน แถลงว่า อัตราภาษีดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้กับสินค้านำเข้าจากสหรัฐล็อตแรกจำนวน 545 รายการ คิดเป็นมูลค่า 3.4 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งรวมถึงสินค้าด้านการเกษตร ยานยนต์ และสินค้าทางทะเล โดยจะเริ่มมีผลตั้งแต่วันที่ 6 ก.ค.นี้เป็นต้นไป ส่วนการเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจำนวนที่เหลือนั้น จะมีการประกาศหลังจากนั้น
หุ้นกลุ่มธนาคารร่วงลง หลังจากธนาคารกลางยุโรป (ECB) ส่งสัญญาณว่าจะตรึงอัตราดอกเบี้ยไปจนถึงช่วงกลางปีหน้า โดยหุ้นบาร์เคลย์ส ดิ่งลง 2.4% หุ้นโซซิเอเต เจเนอราล ดิ่งลง 1.5% และหุ้นดอยซ์ แบงก์ ปรับตัวลง 1.7%
หุ้นกลุ่มเหมืองแร่ร่วงลงเนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน โดยหุ้นแองโกล อเมริกัน ร่วงลง 2.1% หุ้นแรนโกลด์ รีซอสเซส ดิ่งลง 3.1% หุ้นบีเอชพี บิลลิตัน ปรับตัวลง 1.8% และหุ้นเฟรสนิลโล ร่วงลง 1.5%
ส่วนหุ้นโรลส์รอยซ์ ทะยานขึ้น 8.2% หลังจากบริษัทประกาศแผนปรับลดจำนวนพนักงาน 4,600 รายในช่วง 2 ปีข้างหน้า ตามแผนการปรับโครงสร้างองค์กรครั้งใหญ่
ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก: ดาวโจนส์ปิดลบ 84.83 จุด วิตกสงครามการค้าสหรัฐ-จีน
ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดปรับตัวลงเมื่อวันศุกร์ (15 มิ.ย.) เนื่องจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับการทำสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน หลังจากรัฐบาลสหรัฐประกาศบัญชีรายการสินค้านำเข้าจากจีนที่จะถูกเรียกเก็บภาษี 25% ขณะที่รัฐบาลจีนก็ได้ออกมาตรการตอบโต้ในลักษณะเดียวกัน
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 25,090.48 จุด ลดลง 84.83 จุด หรือ -0.34% ขณะที่ดัชนี S&P 500 ปิดที่ 2,779.66 จุด ลดลง 2.83 จุด หรือ -0.10% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,746.38 จุด ลดลง 14.66 จุด หรือ -0.19%
ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กได้รับแรงกดดันจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน หลังจากทำเนียบขาวประกาศบัญชีรายการสินค้านำเข้าจากจีนมูลค่า 5 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งจะถูกเรียกเก็บภาษี 25% เพื่อตอบโต้การที่จีนขโมยทรัพย์สินทางปัญญาของสหรัฐ
ทั้งนี้ สำนักงานตัวแทนการค้าสหรัฐ (USTR) แถลงว่า อัตราภาษีดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้ต่อสินค้าจำนวน 1,100 รายการของจีน โดยสินค้าล็อตแรกจำนวน 818 รายการ มูลค่า 3.4 หมื่นล้านดอลลาร์ จะถูกเรียกเก็บภาษีในวันที่ 6 ก.ค. ขณะที่สินค้าล็อตที่ 2 กำลังอยู่ระหว่างการพิจารณา
หลังจากทางการสหรัฐออกแถลงการณ์ดังกล่าวได้ไม่นาน รัฐบาลจีนก็ได้ออกมาตอบโต้ด้วยการออกมาตรการเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐจำนวน 659 รายการ โดยเรียกเก็บในอัตรา 25% คิดเป็นมูลค่ารวม 5 หมื่นล้านดอลลาร์
รัฐสภาจีน และคณะกรรมาธิการฝ่ายกิจการศุลกากรแห่งรัฐสภาจีน แถลงว่า อัตราภาษีดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้กับสินค้านำเข้าจากสหรัฐล็อตแรกจำนวน 545 รายการ คิดเป็นมูลค่า 3.4 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งรวมถึงสินค้าด้านการเกษตร ยานยนต์ และสินค้าทางทะเล โดยจะเริ่มมีผลตั้งแต่วันที่ 6 ก.ค.นี้เป็นต้นไป ส่วนการเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจำนวนที่เหลือนั้น จะมีการประกาศหลังจากนั้น
หุ้นกลุ่มพลังงานร่วงลงตามทิศทางราคาน้ำมัน หลังจากมีกระแสคาดการณ์ว่า กลุ่มโอเปกอาจจะปรับเพิ่มเพดานการผลิตน้ำมันในการประชุมสัปดาห์หน้า โดยหุ้นเอ็กซอน โมบิล ร่วงลง 1.5% หุ้นอ็อคซิเดนเชียล ปิโตรเลียม ดิ่งลง 1.2% หุ้นเชฟรอน ร่วงลง 1.9%
หุ้นอะโดบี ซิสเต็มส์ ร่วงลง 2.4% หลังจากบริษัทเปิดเผยรายงานผลประกอบการที่ซบเซา
ส่วนหุ้นบริษัทที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีนนั้น หุ้นโบอิ้ง ร่วงลง 1.3% หุ้นแคทเธอร์พิลลาร์ ดิ่งลง 2% และหุ้นดาว เคมิคอล ปรับตัวลง 0.9%
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจที่มีการเปิดเผยเมื่อวันศุกร์นั้น ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) รายงานว่า การผลิตภาคอุตสาหกรรมของสหรัฐลดลง 0.1% ในเดือนพ.ค. โดยได้รับผลกระทบจากการเกิดเพลิงไหม้ครั้งใหญ่ที่โรงงานผลิตชิ้นส่วนของรถบรรทุกในรัฐมิชิแกน
ขณะที่ผลสำรวจของมหาวิทยาลัยมิชิแกนระบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐพุ่งขึ้นสู่ระดับ 99.3 ในเดือนมิ.ย. โดยสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 98.3 หลังจากแตะระดับ 98.0 ในเดือนพ.ค.
OO10140

ooKbee1

corehoon NEW2

 

 

ข่าวล่าสุด!!