หมวดหมู่: หุ้นเด่นวันนี้
3
ภาวะตลาดหุ้นไทย: แนวโน้มดัชนีเช้านี้ปรับลงตามภูมิภาคที่ร่วงแรง หลังสหรัฐฯจะเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจีนอีก 2 แสนล้านดอลลาร์
นายประกิต สิริวัฒนเกตุ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กสิกรไทย กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดว่าจะปรับตัวลงในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นภูมิภาคเอเชียที่เช้านี้ต่างดิ่งลงแรงราว 1.5-2% หลังนายโรเบิร์ต ไลท์ไฮเซอร์ ผู้แทนการค้าสหรัฐ (USTR) ได้ออกมาว่ารัฐบาลสหรัฐฯจะเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนเพิ่มอีก 2 แสนล้านดอลลาร์ โดยจะเรียกเก็บในอัตรา 10% ตั้งแต่สินค้าเพื่อผู้บริโภคไปจนถึงสินค้าด้านการเกษตร ซึ่งถือเป็นข่าวใหญ่สำหรับวันนี้ ดังนั้น คงจะต้องรอดูการตอบโต้จากจีน ซึ่งคงจะตอบโต้ได้ยากอยู่
ทั้งนี้ จีนอาจจะต้องเปิดเจรจากับสหรัฐฯอีก ซึ่งจีนคงจะรู้แล้วว่าอาจจะต้องยอมทำตามในบางประการ อย่างการค้าที่ไม่เป็นธรรมในช่วงก่อนหน้านี้, การปกป้องทรัพย์สินทางปัญญาของสหรัฐฯ, การเปิดตลาดให้สหรัฐฯมากขึ้น รวมถึงอาจจะเลิกเก็บภาษีจากสหรัฐฯ เป็นต้น ซึ่งหากจีนยอมก็จะเป็นข่าวบวกต่อตลาดฯ
พร้อมให้แนวรับ 1,620 จุด แนวต้าน 1,634 จุด
ประเด็นพิจารณาการลงทุน
- ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (10 ก.ค.61) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 24,919.66 จุด พุ่งขึ้น 143.07 จุด (+0.58%), ดัชนี S&P 500 ปิดที่ 2,793.84 จุด เพิ่มขึ้น 9.67 จุด (+0.35%) และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,759.20 จุด เพิ่มขึ้น 3.00 จุด (+0.04%)
- ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น ลดลง 194.75 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ ลดลง 16.94 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง ลดลง 668.53 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวัน ลดลง 63.25 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน ลดลง 46.93 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ ลดลง 35.40 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซีย ลดลง 4.08 จุด, ดัชนี Jakarta Composite ตลาดหุ้นอินโดนีเซีย ลดลง 38.77 จุด, ดัชนี PSE Composite ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ เพิ่มขึ้น 12.44 จุด
- ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (10 ก.ค.61) 1,643.60 จุด เพิ่มขึ้น 20.64 จุด (+1.27%)
- นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 1,383.20 ล้านบาท เมื่อวันที่ 10 ก.ค.61
- ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน ส.ค.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (10 ก.ค.61) ปิดที่ 74.11 ดอลลาร์/บาร์เรล เพิ่มขึ้น 26 เซนต์ หรือเกือบ 0.4%
- ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (10 ก.ค.61) ที่ 5.24 ดอลลาร์/บาร์เรล
- เงินบาทเปิด 33.25 อ่อนค่าจากวานนี้ จากความกังวลเรื่องสงครามการค้า มองกรอบ 33.20-33.30
- ครม.เคาะกฎหมายรีดภาษีลาภลอย ได้รับประโยชน์จากการก่อสร้างโครงการรัฐ เริ่มต้นเก็บห้องชุด-ที่ดินมูลค่าเกิน 50 ล้านบาท รอบรัศมีโครงการก่อสร้าง 5 กิโลเมตร เสียภาษีไม่เกิน 5% คาดบังคับใช้ได้ปี 2562
- "สมคิด" เตรียมจัดคณะเยือนของญี่ปุ่น วันที่ 17-21 ก.ค.นี้ พร้อมจัดสัมมนาใหญ่พบผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์และอากาศยาน อาหารทางการแพทย์ เครื่องจักร และ หุ่นยนต์-ระบบอัตโนมัติ ดึงลงทุนในอีอีซี
- "สุพพัต อ่องแสงคุณ" รองอธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ เผยวันที่ 16 ก.ค.นี้ จะปรับคาดการณ์เป้าหมายการส่งออกของไทยในปีนี้ใหม่ เนื่องจากภาพรวมการส่งออกในช่วงครึ่งปีแรก ขยายตัวได้มากกว่า 11% จึงมั่นใจว่าภาพรวมการส่งออกทั้งปี น่าจะขยายตัวได้มากกว่าที่คาดไว้เดิมที่ 8% อย่างไรก็ตาม ช่วงครึ่งปีหลัง ยังมีปัจจัยเสี่ยงที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด ได้แก่ ปัญหาสงครามการค้า สถานการณ์ราคาน้ำมัน ตลาดหุ้น และอัตราแลกเปลี่ยนที่ยังคงผันผวนต่อเนื่อง
*หุ้นเด่นวันนี้
- CGD-W4 ใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญ ของบมจ.คันทรี่ กรุ๊ป ดีเวลลอปเมนท์ (CGD) เทรดวันนี้วันแรก มีจำนวนหน่วยใบสำคัญแสดงสิทธิที่เป็นหลักทรัพย์จดทะเบียน 1,652,865,654 หน่วย อายุใบสำคัญแสดงสิทธิ 3 ปี ราคาใบสำคัญแสดงสิทธิ 0.00 บาท/หน่วย อัตราการใช้สิทธิ 1 ใบสำคัญแสดงสิทธิต่อ 1 หุ้นสามัญใหม่ ที่ราคาใช้สิทธิหุ้นละ 2.75 บาท กำหนดใช้สิทธิครั้งแรกวันที่ 28 ธ.ค.61 และใช้สิทธิครั้งสุดท้าย วันที่ 26 มิ.ย.64
- HMPRO (เออีซี) "ซื้อ"เป้า 15.80 บาท  ช่วง Q2/61 คาดกำไรโต 17%YoY หลังยอดขายสาขาเดิมยังบวก 3%YoY และมีมาร์จิ้นที่ดีขึ้นจากสัดส่วนยอดขายสินค้า Direct Sourcing สูงขึ้นอีกทั้งรับรู้ยอดขายสาขาใหม่ที่ยังขยายสาขาต่อเนื่องตามแผนโดยเน้นไปที่รูปแบบโฮมโปร S ซึ่งมีศักยภาพทำกำไรสูงหนุนปี 61 คาดกำไรโต 12.6%YoY + Upside 10.5%
- TISCO (ฟินันเซีย ไซรัส) "ซื้อ"เป้า 98 บาท คาดกำไร Q2/61 (ประกาศเย็นนี้) จะออกมาดีสุดในกลุ่ม ที่ 1.8 พันล้านบาท +4% Q-Q, +22% Y-Y เพราะรายได้เพิ่มขึ้นจากพอร์ตที่ซื้อมาใหม่ และผลตอบแทนของเงินให้สินเชื่อสูงขึ้นจาก Consumer Finance ซึ่งถ้าเป็นไปตามคาด จะทำให้กำไร H1/61 โตถึง 28% Y-Y ดีกว่ากลุ่มที่คาด -3% Y-Y ทั้งนี้ ไม่ได้รับผลกระทบจากฟรีค่าธรรมเนียมการโอน รวมถึงประเด็นสงครามการค้าเพราะสินเชื่อส่วนใหญ่พึ่งพิงการบริโภคในประเทศ อีกทั้ง เป็นหุ้นปันผลดีที่คาดจ่ายสูงเฉลี่ย 6% ต่อปี (ปีละครั้ง)
- TOP (เอเอสแอล) "ซื้อ"เป้า 108 บาท คาดกำไรสุทธิ Q2/61 อยู่ที่ 4.7 พันล้านบาท ลดลง 15%QoQ แม้จะมีกำไรพิเศษจำนวนมาก แต่ไม่เพียงพอชดเชยผลกระทบจาก Margin ในกลุ่มธุรกิจการกลั่นและปิโตรเคมีที่ลดลง แนวโน้มกำไรปกติ Q3/61 จะกลับมาฟื้นตัว จากการคาดหมายที่จะเห็นค่าการกลั่นกลับมาแข็งแกร่งอีกครั้ง ทำให้ปรับน้ำหนักการลงทุนหุ้นในกลุ่มธุรกิจการกลั่นจาก Underweight เป็น Neutral
ตลาดหุ้นเอเชียเปิดร่วงยกแผง วิตกข่าวสหรัฐเรียกเก็บภาษีนำเข้าจีนเพิ่มอีก $2 แสนล้าน
ตลาดหุ้นเอเชียเปิดร่วงลงถ้วนหน้าในวันนี้ เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลต่อรายงานข่าวที่ว่า รัฐบาลสหรัฐได้ประกาศเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนเพิ่มอีก 2 แสนล้านดอลลาร์
ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ที่ 22,002.14 จุด ลดลง 194.75 จุด, -0.88% ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้เปิดวันนี้ที่ 2,277.22 จุด ลดลง 16.94 จุด, -0.74% ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ที่ 28,013.72 จุด ลดลง 668.53 จุด, -2.33% ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวันเปิดวันนี้ที่ 10,693.64 จุด ลดลง 63.25 จุด, -0.59% ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ที่ 2,780.70 จุด ลดลง 46.93 จุด, -1.66%
ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์เปิดวันนี้ที่ 3,239.43 จุด ลดลง 35.40 จุด, -1.08% ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียเปิดวันนี้ที่ 1,683.05 จุด ลดลง 4.08 จุด, -0.24% ดัชนี Jakarta Composite ตลาดหุ้นอินโดนีเซียเปิดวันนี้ที่ 5,842.99 จุด ลดลง 38.77 จุด, -0.66% ดัชนี PSE Composite ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์เปิดวันนี้ที่ 7,245.73 จุด เพิ่มขึ้น 12.44 จุด, +0.17%
นายโรเบิร์ต ไลท์ไฮเซอร์ ผู้แทนการค้าสหรัฐ (USTR) เปิดเผยว่า รัฐบาลสหรัฐได้เรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนเพิ่มอีก 2 แสนล้านดอลลาร์ โดยจะเรียกเก็บในอัตรา 10% ซึ่งครอบคลุมถึงสินค้าจำนวน 6,031 รายการ ตั้งแต่สินค้าเพื่อผู้บริโภคไปจนถึงสินค้าด้านการเกษตร หลังจากสหรัฐและจีนไม่สามารถบรรลุข้อตกลงในการเจรจาเพื่อยุติข้อพิพาททางการค้า โดยคาดว่ามาตรการเรียกเก็บภาษีนำเข้าเพิ่มเติมในครั้งนี้จะมีผลบังคับใช้ในเดือนก.ย.
นายไลท์ไฮเซอร์กล่วว่า การที่จีนใช้มาตรการตอบโต้ทางการค้า และไม่ดำเนินนโยบายการค้าอย่างเป็นธรรม ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จึงมีคำสั่งให้ USTR เริ่มกระบวนการเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนเพิ่มอีก 2 แสนล้านดอลลาร์ ในอัตรา 10%
ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน: ฟุตซี่ปิดบวกเพียง 4.05 จุด เหตุตลาดกังวลการเมืองอังกฤษ
ตลาดหุ้นลอนดอนปิดบวกเมื่อคืนนี้ (10 ก.ค.) โดยได้ปัจจัยหนุนจากการอ่อนค่าของเงินปอนด์ อย่างไรก็ตาม ดัชนี FTSE ขยับขึ้นเพียงเล็กน้อย เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับทิศทางการเมืองของอังกฤษ และอนาคตของอังกฤษหลังจากการแยกตัวจากสหภาพยุโรป (Brexit)
ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดวันทำการล่าสุดที่ 7,692.04 จุด เพิ่มขึ้น 4.05 จุด +0.05%
ตลาดหุ้นลอนดอนปิดบวกติดต่อกันเป็นวันที่ 4 เมื่อคืนนี้ เนื่องจากการอ่อนค่าของเงินปอนด์ช่วยหนุนหุ้นของบริษัทข้ามชาติที่จดทะเบียนในดัชนี FTSE 100 โดยรายได้ 75% ของบริษัทข้ามชาติที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ลอนดอนนั้นอยู่ในรูปของสกุลเงินต่างประเทศ ด้วยเหตุนี้ การอ่อนค่าของเงินปอนด์จึงเป็นปัจจัยหนุนหุ้นของบริษัทเหล่านี้
อย่างไรก็ตาม ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นลอนดอนได้รับแรงกดดันจากความผันผวนทางการเมืองในอังกฤษ หลังจากนายบอริส จอห์นสัน รัฐมนตรีต่างประเทศของอังกฤษ, นายเดวิด เดวิส รัฐมนตรีฝ่ายกิจการ Brexit และนายสตีฟ เบเกอร์ ซึ่งเป็นรัฐมนตรีอีกคนหนึ่งที่รับผิดชอบด้านกิจการ Brexit ได้ประกาศลาออกจากตำแหน่ง ท่ามกลางความแตกแยกของคณะรัฐมนตรีอังกฤษในประเด็นการแยกตัวออกจาก EU
นอกจากนี้ นักลงทุนยังวิตกกังวลเกี่ยวกับอนาคตของอังกฤษหลัง Brexit โดยนางเทเรซา เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ กล่าวว่า รัฐสภาอังกฤษควรเตรียมพร้อมรับสถานการณ์ต่างๆที่อาจเกิดขึ้นหลังจาก Brexit รวมทั้งสถานการณ์ที่ว่า อังกฤษอาจจะไม่สามารถบรรลุข้อตกลงกับสหภาพยุโรป (EU)
ทั้งนี้ หากอังกฤษไม่สามารถบรรลุข้อตกลงกับ EU เกี่ยวกับ Brexit ก็จะส่งผลกระทบต่องบประมาณของ EU รวมทั้งสิทธิของประชาชนในสหราชอาณาจักร และ EU ในการอาศัย และเดินทางออกนอกประเทศ
หุ้นเทสโก ร่วงลง 2% หลังจากผู้ประกอบการซูเปอร์มาร์เก็ตรายใหญ่แห่งนี้เปิดเผยว่า นายชาร์ลส์ วิลสัน ซีอีโอของเทสโกประจำประเทศอังกฤษและไอร์แลนด์ จะลาออกจากตำแหน่ง เนื่องจากเหตุผลด้านสุขภาพ
หุ้นไชร์ ผู้ผลิตยารายใหญ่ ขยับขึ้น 2% หลังจากคณะกรรมการการค้าของสหรัฐได้อนุมัติให้ทาเคดา ฟาร์มาซูติคัล ซึ่งเป็นบริษัทเวชภัณฑ์รายใหญ่ของญี่ปุ่น เทคโอเวอร์กิจการของไชร์ คิดเป็นวงเงิน 6.2 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งถือเป็นการเข้าซื้อบริษัทต่างชาติครั้งใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่น
ภาวะตลาดหุ้นยุโรป: หุ้นยุโรปปิดบวก รับความหวังผลประกอบการแข็งแกร่ง
ตลาดหุ้นยุโรปปิดบวกเมื่อคืนนี้ (10 ก.ค.) เนื่องจากนักลงทุนหันเหความสนใจออกจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน และเริ่มมีมุมมองที่เป็นบวกต่อผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนรายใหญ่ อย่างไรก็ตาม ความไม่แน่นอนทางการเมืองในอังกฤษยังคงเป็นปัจจัยที่สร้างแรงกดดันต่อภาวะการซื้อขายในตลาด
ดัชนี  Stoxx Europe 600 เพิ่มขึ้น 0.4% ปิดที่ 386.25 จุด
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 5,434.36 จุด เพิ่มขึ้น 36.25 จุด หรือ +0.67% ขณะที่ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 12,609.85 จุด เพิ่มขึ้น 65.96 จุด หรือ +0.53% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,692.04 จุด เพิ่มขึ้น 4.05 จุด หรือ +0.05%
นักลงทุนมีมุมมองที่เป็นบวกต่อผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน ซึ่งรวมถึงบริษัทรายใหญ่ของสหรัฐ โดยเป๊ปซี่โคเปิดเผยเมื่อคืนนี้ว่า กำไรในไตรมาส 2 อยู่ที่ระดับ 1.61 ดอลลาร์/หุ้น สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ที่ระดับ 1.52 ดอลลาร์/หุ้น ส่วนรายได้อยู่ที่ระดับ 1.609 หมื่นล้านดอลลาร์ สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ที่ระดับ 1.604 หมื่นล้านดอลลาร์
นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า ผลประกอบการในไตรมาส 2 ของบริษัทจดทะเบียนในสหรัฐจะเพิ่มขึ้น 20% ซึ่งการคาดการณ์ดังกล่าวช่วยให้นักลงทุนหันเหความสนใจออกจากปัจจัยการทำสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน
หุ้นไชร์ ผู้ผลิตยารายใหญ่ ขยับขึ้น 2% หลังจากคณะกรรมการการค้าของสหรัฐได้อนุมัติให้ทาเคดา ฟาร์มาซูติคัล ซึ่งเป็นบริษัทเวชภัณฑ์รายใหญ่ของญี่ปุ่น เทคโอเวอร์กิจการของไชร์ คิดเป็นวงเงิน 6.2 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งถือเป็นการเข้าซื้อบริษัทต่างชาติครั้งใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่น
หุ้นเทสโก ร่วงลง 2% หลังจากผู้ประกอบการซูเปอร์มาร์เก็ตรายใหญ่แห่งนี้เปิดเผยว่า นายชาร์ลส์ วิลสัน ซีอีโอของเทสโกประจำประเทศอังกฤษและไอร์แลนด์ จะลาออกจากตำแหน่ง เนื่องจากเหตุผลด้านสุขภาพ
หุ้น BMW ขยับลง 0.3% หลังจากทาง BMW ประกาศความร่วมมือกับบริษัทไป่ตู้ อิงค์ เพื่อพัฒนารถยนต์ที่ใช้เทคโนโลยีขับเคลื่อนอัตโนมัติในประเทศจีน
ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นยุโรปได้รับแรงกดดันจากความผันผวนทางการเมืองในอังกฤษ หลังจากนายบอริส จอห์นสัน รัฐมนตรีต่างประเทศของอังกฤษ, นายเดวิด เดวิส รัฐมนตรีฝ่ายกิจการ Brexit และนายสตีฟ เบเกอร์ ซึ่งเป็นรัฐมนตรีอีกคนหนึ่งที่รับผิดชอบด้านกิจการ Brexit ได้ประกาศลาออกจากตำแหน่ง ท่ามกลางความแตกแยกของคณะรัฐมนตรีอังกฤษในประเด็นการแยกตัวออกจาก EU
นอกจากนี้ นักลงทุนยังวิตกกังวลเกี่ยวกับอนาคตของอังกฤษ หลังจากนางเทเรซา เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ กล่าวว่า รัฐสภาอังกฤษควรเตรียมพร้อมรับสถานการณ์ต่างๆที่อาจเกิดขึ้นหลังจาก Brexit รวมทั้งสถานการณ์ที่ว่า อังกฤษอาจจะไม่สามารถบรรลุข้อตกลงกับสหภาพยุโรป (EU)
ทั้งนี้ หากอังกฤษไม่สามารถบรรลุข้อตกลงกับ EU เกี่ยวกับ Brexit ก็จะส่งผลกระทบต่องบประมาณของ EU รวมทั้งสิทธิของประชาชนในสหราชอาณาจักร และ EU ในการอาศัย และเดินทางออกนอกประเทศ
ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก: ดาวโจนส์ปิดพุ่ง 143.07 จุด รับความหวังผลประกอบการสดใส
ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นติดต่อกันเป็นวันที่ 4 เมื่อคืนนี้ (10 ก.ค.) เนื่องจากนักลงทุนมีมุมมองที่เป็นบวกต่อผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน โดยหุ้นกลุ่มพลังงานดีดตัวขึ้นตามทิศทางราคาน้ำมัน ขณะที่หุ้นกลุ่มสินค้าผู้บริโภคปรับตัวขึ้นขานรับผลประกอบการที่แข็งแกร่งของบริษัทเป๊ปซี่โค นอกจากนี้ ตลาดยังได้ปัจจัยหนุนจากการที่นักลงทุนเริ่มหันเหความสนใจออกจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน และจับตาผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนรายใหญ่ในสัปดาห์นี้ ซึ่งรวมถึงเจพีมอร์แกน และซิตี้กรุ๊ป
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 24,919.66 จุด พุ่งขึ้น 143.07 จุด หรือ +0.58% ดัชนี S&P 500 ปิดที่ 2,793.84 จุด เพิ่มขึ้น 9.67 จุด หรือ +0.35% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,759.20 จุด เพิ่มขึ้น 3.00 จุด หรือ +0.04%
นักวิเคราะห์จากบริษัทเอดีเอส ซิเคียวริตีส์ในสหรัฐกล่าวว่า ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ดัชนีดาวโจนส์ปิดในแดนบวกติดต่อกันเป็นวันที่ 4 เมื่อคืนนี้ มาจากการที่นักลงทุนมีมุมมองที่ดีขึ้นเกี่ยวกับผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน โดยมีการคาดการณ์ว่า ผลประกอบการในไตรมาส 2 ของบริษัทจดทะเบียนในสหรัฐจะเพิ่มขึ้น 20% ซึ่งการคาดการณ์ดังกล่าวช่วยให้นักลงทุนหันเหความสนใจออกจากปัจจัยการทำสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน
หุ้นกลุ่มสินค้าผู้บริโภคพุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่ง นำโดยหุ้นเป๊ปซี่โค ทะยานขึ้น 4.8% หุ้นพร็อกเตอร์ แอนด์ แกมเบิล พุ่งขึ้น 2.5% หุ้นโคคา-โคลา ปรับตัวขึ้น 1.3% โดยหุ้นกลุ่มดังกล่าวดีดตัวขึ้นหลังจากเป๊ปซี่โคเปิดเผยกำไรในไตรมาส 2 ที่ระดับ 1.61 ดอลลาร์/หุ้น สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ที่ระดับ 1.52 ดอลลาร์/หุ้น ส่วนรายได้อยู่ที่ระดับ 1.609 หมื่นล้านดอลลาร์ สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ที่ระดับ 1.604 หมื่นล้านดอลลาร์
หุ้นกลุ่มพลังงานดีดตัวขึ้นหลังจากราคาน้ำมันดิบ WTI ปรับตัวขึ้นติดต่อกันเป็นวันที่ 3 เมื่อคืนนี้ อันเนื่องมาจากข่าวการประท้วงของคนงานอุตสาหกรรมน้ำมันในนอร์เวย์และกาบอง โดยหุ้นเชฟรอน พุ่งขึ้น 1.2% เอ็กซอน โมบิล เพิ่มขึ้นกว่า 0.9% % หุ้นเชซาพีค เอนเนอร์จี ขยับขึ้น 0.2% หุ้นเดวอน เอนเนอร์จี เพิ่มขึ้น 0.7% หุ้นมาราธอน ออยล์ เพิ่มขึ้น 0.3% และหุ้นอ็อคซิเดนเชียล ปิโตรเลียม เพิ่มขึ้น 0.5%
หุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมปรับตัวขึ้นหลังจากนักลงทุนเริ่มคลายความกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน โดยหุ้นโบอิ้ง พุ่งขึ้น 1.5% หุ้นแคทเธอร์พิลลาร์ ดีดตัวขึ้น 0.2% หุ้น 3M เพิ่มขึ้น 0.5% ยูไนเต็ด เทคโนโลยีส์ เพิ่มขึ้น 0.3% หุ้นเอเมอร์สัน อิเล็กทริก เพิ่มขึ้น 0.2% และหุ้นอีตัน คอร์ป เพิ่มขึ้น 0.6%
หุ้นทเวนตี้ เฟิร์สท์ เซ็นจูรี ฟ็อกซ์ ของนายรูเพิร์ท เมอร์ดอค ดีดตัวขึ้น 0.4% ขณะที่หุ้นคอมแคสต์ ซึ่งเป็นบริษัทสื่อยักษ์ใหญ่ของสหรัฐ ปรับตัวลง 0.7% หลังจากสื่อรายงานว่าทเวนตี้ เฟิร์สท์ เซ็นจูรี ฟ็อกซ์ เตรียมเปิดศึกทางธุรกิจกับคอมแคสต์ ด้วยการชิงยื่นข้อเสนอที่สูงขึ้นเพื่อเข้าซื้อกิจการบริษัทสกาย ซึ่งเป็นผู้ให้บริการเพย์ทีวีของยุโรป
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจที่มีการเปิดเผยล่าสุดและมีผลต่อภาวะการซื้อขายเมื่อคืนนี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ตำแหน่งงานนอกภาคเกษตรที่เปิดรับสมัครโดยสถานประกอบการในสหรัฐ ลดลงสู่ระดับ 6.6 ล้านตำแหน่งในเดือนพ.ค. จากระดับ 6.8 ล้านตำแหน่งในเดือนเม.ย. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ขณะที่มีคนว่างงานเพียง 6 ล้านคน โดยตำแหน่งงานว่างในเดือนพ.ค.มีจำนวนมากกว่าคนว่างงานเป็นครั้งที่ 2 ในรอบกว่า 20 ปี
นักลงทุนจับตาผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนรายใหญ่ โดยเจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค, เวลส์ ฟาร์โก และซิตี้กรุ๊ป มีกำหนดเปิดเผยผลประกอบการในวันศุกร์นี้
นอกจากนี้ นักลงทุนยังจับตาข้อมูลเศรษฐกิจด้านอื่นๆของสหรัฐในสัปดาห์นี้ ซึ่งได้แก่ ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือนมิ.ย., สต็อกสินค้าคงคลังภาคค้าส่งเดือนพ.ค., ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนมิ.ย., จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ราคานำเข้าและส่งออกเดือนมิ.ย. และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนก.ค.จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน
 
--อินโฟเควสท์
OO11041

ooKbee1

corehoon NEW2

 

 

ข่าวล่าสุด!!