หมวดหมู่: หุ้นเด่นวันนี้
19
ภาวะตลาดหุ้นไทย: แนวโน้มดัชนีเช้านี้แกว่งทรงตัว เล็งกลุ่มพลังงานกดดันหลังราคาน้ำมันร่วงแรง/จับตาการเลือกกกต.วันนี้
นายภาดล วรรณรัตน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดว่าจะแกว่งทรงตัว เนื่องจากตลาดในภูมิภาคเอเชียเช้านี้เคลื่อนไหวทั้งในแดนบวก-ลบราว 0.2-0.3% หลังจากที่สงครามการค้าเป็นเรื่องที่ยังต้องติดตามดู และขณะนี้ทางจีนก็ยังไม่ได้มีการตอบโต้อะไรออกมา
แต่ตลาดฯอาจได้รับแรงกดดันจากหุ้นในกลุ่มพลังงานหลังจากที่ราคาน้ำมันร่วงแรง 5% ซึ่งมองว่าราคาน้ำมันดิบที่ระดับ 70 เหรียญฯ/บาร์เรล น่าจะยังเป็นแนวรับที่ดีซึ่งหากไม่หลุดแนวนี้ก็มีโอกาสที่จะฟื้นตัวขึ้นได้ โดยเรื่องของราคาน้ำมันมีทั้งข่าวดีและข่าวลบ โดยข่าวดีมาจากเรื่องสต็อกน้ำมันของสหรัฐฯที่ลดลง และข่าวลบจากเรื่องที่ปริมาณการผลิตน้ำมันของซาอุดิอาระเบียเพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ดี วันนี้ให้ติดตามเรื่องการพิจารณาให้ความเห็นชอบคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ซึ่งประเด็นการเมืองจะมีน้ำหนักมากขึ้นในวันนี้ เพราะหากผลออกมาเป็นบวกก็จะทำให้การเลือกตั้งเดินตามโรดแมพได้
พร้อมให้กรอบการแกว่งไว้ที่ 1,625-1,640 จุด
ประเด็นพิจารณาการลงทุน
- ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (11 ก.ค.61) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 24,700.45 จุด ร่วงลง 219.21 จุด (-0.88%), ดัชนี S&P 500 ปิดที่ 2,774.02 จุด ลดลง 19.82 จุด (-0.71%) และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,716.61 จุด ลดลง 42.59 จุด (-0.55%)
- ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน ลดลง 6.73 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง ลดลง 51.60 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ ลดลง 1.22 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวัน ลดลง 31.93 จุด,  ดัชนี PSE Composite ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ ลดลง 5.69 จุด, ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น เพิ่มขึ้น 104.66 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซีย เพิ่มขึ้น 0.52 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ เพิ่มขึ้น 5.31 จุด
- ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (11 ก.ค.61) 1,636.63 จุด ลดลง 6.97 จุด (-0.42%)
- นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 761.20 ล้านบาท เมื่อวันที่ 11 ก.ค.61
- ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน ส.ค.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (11 ก.ค.61) ปิดที่ 70.38 ดอลลาร์/บาร์เรล ร่วงลง 3.73 ดอลลาร์ หรือ 5%
- ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (11 ก.ค.61) ที่ 5.31 ดอลลาร์/บาร์เรล
- เงินบาทเปิด 33.33 แนวโน้มอ่อนค่าหลังดอลล์แข็ง คาดกรอบวันนี้ 33.30-33.40
- "สมคิด" เข็นประมูลโปรเจ็กต์คมนาคม ช่วง 7 เดือน โค้งสุดท้ายรัฐบาล ก่อนเลือกตั้ง พร้อมเพิ่มโครงข่ายเชื่อมพื้นที่ภาคใต้ หนุน "ไทยแลนด์ริเวียร่า" ด้าน "อาคม" จัดแถวชง ครม.รถไฟทางคู่ 9 เส้นทาง 4 แสนล้าน รถไฟสีแดง, รถไฟฟ้า และเร่งแผนขยายสนามบินของ ทอท.
- โหวตเลือก 7 กกต.วันนี้ "สุรชัย" มั่นใจ สนช. ไม่ล้มกระดาน ระบุเลือกผ่านแค่ 5 คน ก็ทำหน้าที่ได้แล้ว ยัน สนช.ต้องตรวจคุณสมบัติเข้ม "นิพิฏฐ์" จับตาคัด กกต.ใช้วิธีทาบทาม ส่อกระทบเลือกตั้งไม่สุจริต เที่ยงธรรม เปิดข้อกฎหมาย ยันต้อง"สรรหา" ไม่ใช่ "ทาบทาม"
- ประธานกรรมการ สภาธุรกิจตลาดทุนไทย เปิดเผยผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนในอีก 3 เดือนข้างหน้าอยู่ที่ 101.33 เพิ่มขึ้น 10.55% ซึ่งเป็นครั้งแรกในรอบ 5 เดือนที่ดัชนีความเชื่อมั่นเกิน 100
- สมาคมตราสารหนี้ไทยไม่กังวลเงินไหลออกตลาดบอนด์ เหตุผลตอบแทนที่แท้จริงยังสูงกว่าตลาดสหรัฐ ขณะที่สงครามการค้า ไม่กระทบ เผยครึ่งปีแรกต่างชาติ ยังซื้อสุทธิกว่า 4.3 พันล้านบาท
- คลังจะเสนอให้รัฐบาลคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือ แวต ให้กับผู้มีรายได้น้อยที่มาลงทะเบียนสวัสดิการแห่งรัฐ 11.4 ล้านคน สำหรับเงินที่นำไปซื้อของ ใช้จ่ายในช่วง 3 เดือนสุดท้ายของปีนี้ ซึ่งต้องซื้อของผ่านบัตรสวัสดิการ โดยนำเงินของตัวเองไปเติมใส่บัตรและนำไปซื้อสินค้า ข้อมูลการซื้อขายซึ่งเชื่อมกับกรมสรรพากรอยู่แล้วว่าจะได้คืนภาษีแวตเท่าไร ผู้มีรายได้น้อยก็สามารถมาขอคืนกับกรมสรรพากรได้ตอนสิ้นปี
- 'บิ๊กตู่' นำทีมเยือนศรีลังกาประกาศเปิดเจรจาความตกลงการค้าเสรี เดินหน้าความร่วมมือ 10 ด้าน ทั้งการลงทุน โครงสร้างพื้นฐาน การพัฒนาอุตสาหกรรมเกษตร ประมง อัญมณี การท่องเที่ยว หนุนยกระดับความร่วมมือทางเศรษฐกิจ กระตุ้นมูลค่าลงทุนพุ่งทะลุมากกว่า 700 ล้านเหรียญสหรัฐ
*หุ้นเด่นวันนี้
- TEAMG (บมจ.ทีม คอนซัลติ้ง เอนจิเนียริ่ง แอนด์ แมเนจเมนท์) เทรดวันนี้วันแรก โดยเสนอขาย IPO 2.42 บาท/หุ้น บล.ฟินันเซีย ไซรัส ประเมินราคาเหมาะสมที่ 4.20 บาท คาดกำไรสุทธิปี 2560-2563 เติบโตเฉลี่ยสูงถึง 23.4% CAGR
บริษัทฯเป็นผู้ให้บริการที่ปรึกษาด้านวิศวกรรม โดยมีจุดเด่นที่บริการที่ครบวงจรและเป็น One Stop Service รวมถึงมีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในโครงการขนาดใหญ่หลายโครงการและหลายอุตสาหกรรม ขณะที่การลงทุนภาครัฐเพื่อยกระดับและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานประเทศเป็นบวกโดยตรงต่อธุรกิจของ TEAMG รวมถึงยังมีโอกาสเติบโตในส่วนงานภาคเอกชนและตลาดต่างประเทศที่เร่งลงทุนด้วยเช่นกัน
- IT (ฟินันเซีย ไซรัส) "ซื้อ"เป้า 6.90 บาท คาดงบ Q2/61 จะออกมาโดดเด่นมาก จากกระแสเกมมิ่งที่แรงไม่หยุด, ยอดขายทีวีที่เร่งตัวรับบอลโลก, และผลจาก Commart JOY ช่วงโค้งสุดท้ายของไตรมาส อีกทั้ง IT ยังมีการเปิดสาขาใหม่ถึง 5 แห่ง จากที่ไม่เปิดมานาน 3 ปี เบื้องต้นคาดมีกำไรสุทธิ 24 ลบ. +30% Q-Q, +18% Y-Y ส่วนทั้งปีนี้คาด +33% Y-Y อยู่ที่ 84 ลบ. ด้านราคาปัจจุบันยังไม่สะท้อนงบที่คาดจะออกมาดี PE2561-62 แค่ 12-15 เท่า ต่ำกว่ากลุ่มที่ 20 เท่า และคาดปันผลสูง 5-6% ต่อปี
- MTC (กสิกรไทย) "ซื้อ"เป้า 48 บาท คาดรายงานกำไรสุทธิไตรมาส 2/2561 ที่ 862 ลบ. เพิ่มขึ้น 51% YoY และ 3% QoQ คาดว่ากำไรสุทธิในไตรมาสต่อไปจะยังเติบโตสูงขึ้นในเชิง QoQ เนื่องจากบริษัทฯ ได้ส่วนแบ่งทางการตลาดจากคู่แข่งซึ่งเป็นผู้เล่นในระดับพื้นที่ได้ต่อเนื่องและได้ประโยชน์จากความประหยัดต่อขนาดมากขึ้นจากเครือข่ายขนาดใหญ่ ขณะที่ยังควบคุมคุณภาพทรัพย์สินได้ดี และคงมุมมองเดิมที่คาดว่ามีความเป็นไปได้น้อยที่พรบ.นอนแบงก์ จะตรึงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 15%
- KKP (กรุงศรี) "ซื้อ"เป้า 85 บาท คาดผลกำไร Q2/61 เด่นสุดของกลุ่มธนาคาร เบื้องต้นคาดกำไรสุทธิ Q2/61 ประมาณ 1,437 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 21%yoy นอกจากนี้ KKP ยังเป็นหุ้นที่จ่ายปันผลสูงสุดของกลุ่ม (ประมาณ 7-7.5%)
ตลาดหุ้นเอเชียผันผวนเช้านี้ ขณะนักลงทุนกังวลสหรัฐ-จีนเปิดศึกการค้ารอบใหม่
ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวผันผวนในช่วงเช้าวันนี้ ขณะที่นักลงทุนยังคงวิตกกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีนที่ส่งสัญญาณทวีความรุนแรงมากขึ้น หลังจากรัฐบาลสหรัฐประกาศเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนเพิ่มอีก 2 แสนล้านดอลลาร์เมื่อวานนี้
ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ที่ 2,771.04 จุด ลดลง 6.73 จุด, -0.24% ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ที่ 28,260.09 จุด ลดลง 51.60 จุด, -0.18% ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์เปิดวันนี้ที่ 3,247.86 จุด ลดลง 1.22 จุด, -0.04% ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวันเปิดวันนี้ที่ 10,644.91 จุด ลดลง 31.93 จุด, -0.30% ดัชนี PSE Composite ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์เปิดวันนี้ที่ 7,328.04 จุด ลดลง 5.69 จุด, -0.08%
ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ที่ 22,036.87 จุด เพิ่มขึ้น 104.66 จุด, +0.48% ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียเปิดวันนี้ที่ 1,689.29 จุด เพิ่มขึ้น 0.52 จุด, +0.03% ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้เปิดวันนี้ที่ 2,285.93 จุด เพิ่มขึ้น 5.31 จุด, +0.23%
นักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับการทำสงครามการค้าที่ทวีความรุนแรงมากขึ้นระหว่างสหรัฐและจีน หลังจากรัฐบาลสหรัฐประกาศเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนเพิ่มอีก 2 แสนล้านดอลลาร์ ในอัตรา 10% โดยคาดว่าจะมีผลบังคับใช้ในเดือนก.ย. ทางด้านรัฐบาลจีนได้ออกมาประท้วงการกระทำดังกล่าวของสหรัฐ และเตือนว่าจะใช้มาตรการตอบโต้เช่นกัน
มาตรการล่าสุดที่รัฐบาลสหรัฐประกาศเมื่อวานนี้ มีขึ้นหลังจากเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา สหรัฐเพิ่งบังคับใช้มาตรการเรียกเก็บภาษีนำเข้าจากจีนกว่า 800 รายการ ในอัตรา 25% คิดเป็นมูลค่า 3.4 หมื่นล้านดอลลาร์ ขณะที่จีนก็ได้ตอบโต้ด้วยการเก็บภาษี 25% ต่อสินค้านำเข้าจากสหรัฐในวงเงินที่เท่ากัน ทางด้านปธน.ทรัมป์ได้ส่งสัญญาณเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า สหรัฐจะเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนในวงเงินสูงกว่า 5 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งเกือบเท่ากับมูลค่าสินค้าที่สหรัฐนำเข้าจากจีนทั้งหมดในปีที่แล้ว
ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน: ฟุตซี่ปิดร่วง 100.08 จุด วิตกข่าวสหรัฐเก็บภาษีนำเข้าจีนรอบใหม่
ตลาดหุ้นลอนดอนปิดร่วงลงหนักสุดในรอบ 2 สัปดาห์เมื่อคืนนี้ (11 ก.ค.) หลังจากรัฐบาลสหรัฐประกาศเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนเพิ่มอีก 2 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งส่งผลให้นักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของสงครามการค้าที่ทวีความรุนแรงขึ้น
ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,591.96 จุด ลดลง 100.08 จุด หรือ -1.30%
นักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับการทำสงครามการค้าที่ทวีความรุนแรงมากขึ้นระหว่างสหรัฐและจีน หลังจากรัฐบาลสหรัฐประกาศเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนเพิ่มอีก 2 แสนล้านดอลลาร์ ในอัตรา 10% โดยคาดว่าจะมีผลบังคับใช้ในเดือนก.ย. ทางด้านรัฐบาลจีนได้ออกมาประท้วงการกระทำดังกล่าวของสหรัฐ และเตือนว่าจะใช้มาตรการตอบโต้เช่นกัน
ความวิตกกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าส่งผลให้นักลงทุนกระหน่ำขายหุ้นกลุ่มเหมืองแร่ โดยหุ้นเกลนคอร์ ดิ่งลง 4.8% หุ้นแองโกล อเมริกัน ร่วงลง 3.9% หุ้นอันโตฟากัสตา ผู้ผลิตทองแดงรายใหญ่ ร่วงลง 3.1% และหุ้นบีเอชพี บิลลิตัน ดิ่งลง 3.1% เช่นกัน
หุ้นกลุ่มพลังงานปรับตัวลง หลังจากราคาน้ำมันดิบ WTI และน้ำมันดิบเบรนท์ร่วงลงอย่างหนักเมื่อคืนนี้ อันเนื่องมาจากข่าวการผลิตน้ำมันเพิ่มขึ้นของซาอุดิอาระเบีย และข่าวลิเบียเริ่มกลับมาดำเนินการผลิตและส่งออกอีกครั้ง โดยหุ้นบีพี ดิ่งลง 3.2% และหุ้นรอยัล ดัทช์ เชลล์ ร่วงลง 2.2%
หุ้นสกาย ซึ่งเป็นผู้ให้บริการเครือข่ายเคเบิลทีวีของยุโรป ปรับตัวลง 0.5% หลังจากบริษัท ทเวนตี้ เฟิร์สต์ เซ็นจูรี ฟ็อกซ์ ของนายรูเพิร์ท เมอร์ดอค เพิ่มวงเงินในการซื้อหุ้นในบริษัทสกาย สู่ระดับ 3.25 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งสูงกว่าข้อเสนอของคอมแคสต์ที่ระดับ 3.1 หมื่นล้านดอลลาร์ และสูงกว่าวงเงินเดิมที่ฟ็อกซ์เคยเสนอที่ระดับ 2.58 หมื่นล้านดอลลาร์ในเดือนธ.ค.2559
หุ้นกลุ่มธนาคารปรับตัวลง โดยหุ้นเอชเอสบีซี และหุ้นสแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ด ปรับตัวลง 0.9% และ 2.2% ตามลำดับ
นักลงทุนจับตาการเมืองของอังกฤษอย่างใกล้ชิด ท่ามกลางความวิตกกังวลเกี่ยวกับอนาคตของอังกฤษหลังจากการแยกตัวจากสหภาพยุโรป (Brexit) หลังจากรัฐมนตรีกระทรวงสำคัญและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการ Brexit ได้ประกาศลาออก เพื่อแสดงจุดยืนต่อต้านแผนซอฟต์ เบร็กซิต (Soft Brexit) ของนายกรัฐมนตรีเทเรซา เมย์ โดยเจ้าหน้าที่เหล่านั้นมองว่า นายกฯเมย์ยอมอ่อนข้อต่อสหภาพยุโรป (EU) มากเกินไป และง่ายเกินไป
ภาวะตลาดหุ้นยุโรป: หุ้นยุโรปปิดร่วง วิตกผลกระทบสงครามการค้าสหรัฐ-จีน
ตลาดหุ้นยุโรปปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้ (11 ก.ค.) โดยได้รับแรงกดดันจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของสงครามการค้าที่ทวีความรุนแรงขึ้นระหว่างสหรัฐและจีน หลังจากรัฐบาลสหรัฐประกาศเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนเพิ่มอีก 2 แสนล้านดอลลาร์เมื่อวานนี้
ดัชนี Stoxx Europe 600 ร่วงลง 1.3% ปิดที่ 381.40 จุด ซึ่งเป็นการร่วงลงหนักสุดนับตั้งแต่วันที่ 25 มิ.ย.ปีนี้
ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 12,417.13 จุด ลดลง 192.72 จุด หรือ -1.53% ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 5,353.93 จุด ลดลง 80.43 จุด หรือ -1.48% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,591.96 จุด ลดลง 100.08 จุด หรือ -1.30%
ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นยุโรปได้รับแรงกดดันจากผลกระทบของสงครามการค้า หลังจากรัฐบาลสหรัฐประกาศเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนเพิ่มอีก 2 แสนล้านดอลลาร์ ในอัตรา 10% โดยคาดว่าจะมีผลบังคับใช้ในเดือนก.ย. ทางด้านรัฐบาลจีนได้ออกมาประท้วงการกระทำดังกล่าวของสหรัฐ และเตือนว่าจะใช้มาตรการตอบโต้เช่นกัน
มาตรการล่าสุดที่รัฐบาลสหรัฐประกาศเมื่อวานนี้ มีขึ้นหลังจากเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา สหรัฐเพิ่งบังคับใช้มาตรการเรียกเก็บภาษีนำเข้าจากจีนกว่า 800 รายการ ในอัตรา 25% คิดเป็นมูลค่า 3.4 หมื่นล้านดอลลาร์ ขณะที่จีนก็ได้ตอบโต้ด้วยการเก็บภาษี 25% ต่อสินค้านำเข้าจากสหรัฐในวงเงินที่เท่ากัน
หุ้นกลุ่มเหมืองแร่ร่วงลงอย่างหนักเนื่องจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของสงครามการค้า โดยหุ้นเกลนคอร์ ดิ่งลง 4.8% หุ้นแองโกล อเมริกัน ร่วงลง 3.9% หุ้นอันโตฟากัสตา ผู้ผลิตทองแดงรายใหญ่ ร่วงลง 3.1% และหุ้นบีเอชพี บิลลิตัน ดิ่งลง 3.1% เช่นกัน
หุ้นกลุ่มพลังงานปรับตัวลง หลังจากราคาน้ำมันดิบ WTI และน้ำมันดิบเบรนท์ร่วงลงอย่างหนักเมื่อคืนนี้ อันเนื่องมาจากข่าวการผลิตน้ำมันเพิ่มขึ้นของซาอุดิอาระเบีย และข่าวลิเบียเริ่มกลับมาดำเนินการผลิตและส่งออกอีกครั้ง โดยหุ้นบีพี ดิ่งลง 3.2% และหุ้นรอยัล ดัทช์ เชลล์ ร่วงลง 2.2%
หุ้นสกาย ซึ่งเป็นผู้ให้บริการเครือข่ายเคเบิลทีวีของยุโรป ปรับตัวลง 0.5% หลังจากบริษัท ทเวนตี้ เฟิร์สต์ เซ็นจูรี ฟ็อกซ์ ของนายรูเพิร์ท เมอร์ดอค เพิ่มวงเงินในการซื้อหุ้นในบริษัทสกาย สู่ระดับ 3.25 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งสูงกว่าข้อเสนอของคอมแคสต์ที่ระดับ 3.1 หมื่นล้านดอลลาร์ และสูงกว่าวงเงินเดิมที่ฟ็อกซ์เคยเสนอที่ระดับ 2.58 หมื่นล้านดอลลาร์ในเดือนธ.ค.2559
หุ้นกลุ่มธนาคารปรับตัวลง โดยหุ้นเอชเอสบีซี และหุ้นสแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ด ปรับตัวลง 0.9% และ 2.2% ตามลำดับ
หุ้นเบอร์เบอร์รี ผู้ผลิตและจำหน่ายสินค้าหรู ร่วงลง 4.1% หลังจากบริษัทเปิดเผยยอดขายลดลงในไตรมาสแรกปีนี้ เนื่องจากความต้องการซื้อสินค้าหรูในหมู่นักท่องเที่ยวยุโรปชะลอตัวลง
ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก: ดาวโจนส์ปิดร่วง 219.21 จุด วิตกสหรัฐ-จีนเปิดศึกการค้ารอบใหม่
ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลงกว่า 200 จุดเมื่อคืนนี้ (11 ก.ค.) เนื่องจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าที่ทวีความรุนแรงขึ้นระหว่างสหรัฐและจีน หลังจากรัฐบาลสหรัฐประกาศเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนเพิ่มอีก 2 แสนล้านดอลลาร์เมื่อวานนี้ โดยความวิตกกังวลในเรื่องดังกล่าวได้ฉุดหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมร่วงลงอย่างหนัก ซึ่งรวมถึงหุ้นโบอิ้งและแคทเธอร์พิลลาร์ ขณะที่หุ้นกลุ่มพลังงานร่วงลงหลังจากราคาน้ำมันดิบ WTI ทรุดตัวลงถึง 5%
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 24,700.45 จุด ร่วงลง 219.21 จุด หรือ -0.88% ดัชนี S&P 500 ปิดที่ 2,774.02 จุด ลดลง 19.82 จุด หรือ -0.71% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,716.61 จุด ลดลง 42.59 จุด หรือ -0.55%
ดัชนีดาวโจนส์เคลื่อนไหวในแดนลบตลอดการซื้อขายเมื่อคืนนี้ เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับการทำสงครามการค้าที่ทวีความรุนแรงมากขึ้นระหว่างสหรัฐและจีน หลังจากรัฐบาลสหรัฐประกาศเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนเพิ่มอีก 2 แสนล้านดอลลาร์ ในอัตรา 10% โดยคาดว่าจะมีผลบังคับใช้ในเดือนก.ย. ทางด้านรัฐบาลจีนได้ออกมาประท้วงการกระทำดังกล่าวของสหรัฐ และเตือนว่าจะใช้มาตรการตอบโต้เช่นกัน
มาตรการล่าสุดที่รัฐบาลสหรัฐประกาศเมื่อวานนี้ มีขึ้นหลังจากเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา สหรัฐเพิ่งบังคับใช้มาตรการเรียกเก็บภาษีนำเข้าจากจีนกว่า 800 รายการ ในอัตรา 25% คิดเป็นมูลค่า 3.4 หมื่นล้านดอลลาร์ ขณะที่จีนก็ได้ตอบโต้ด้วยการเก็บภาษี 25% ต่อสินค้านำเข้าจากสหรัฐในวงเงินที่เท่ากัน ทางด้านปธน.ทรัมป์ได้ส่งสัญญาณเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า สหรัฐจะเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนในวงเงินสูงกว่า 5 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งเกือบเท่ากับมูลค่าสินค้าที่สหรัฐนำเข้าจากจีนทั้งหมดในปีที่แล้ว
หุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมร่วงลงเนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้า โดยหุ้นแคทเธอร์พิลลาร์ ดิ่งลง 3.2% หุ้นโบอิ้ง ร่วงลง 1.9% หุ้น 3M ลดลง 1.9% หุ้นยูไนเต็ด เทคโนโลยีส์ ร่วงลง 1.7% หุ้นเอเมอร์สัน อิเล็กทริก ดิ่งลง 2.7% และหุ้นอีตัน คอร์ป ร่วงลง 3.3%
หุ้นกลุ่มผู้ผลิตชิปซึ่งต้องพึ่งพารายได้ส่วนหนึ่งจากการทำธุรกิจในจีนนั้น ร่วงลงเช่นกัน โดยหุ้นไมครอน เทคโนโลยี ดิ่งลง 2.8% หุ้น Nvidia ดิ่งลง 2.3 % หุ้นพีเอชแอลเอ็กซ์ เซมิคอนดักเตอร์ ร่วงลง 2.6%
นอกจากนี้ ความวิตกเกี่ยวกับสงครามการค้ายังได้ฉุดหุ้นกลุ่มผู้ผลิตเหล็กและกลุ่มเหมืองแร่ปรับตัวลงด้วย โดยหุ้นฟรีพอร์ท-แมคมอแรน ร่วงลง 3.9% หุ้นยูไนเต็ด สเตทส์ สตีล ลดลง 2.7% หุ้นเอเค สตีล โฮลดิ้งส์ ร่วงลง 1.9% และหุ้นเซ็นจูรี อลูมิเนียม ร่วงลง 2.5%
หุ้นกลุ่มพลังงานร่วงลง หลังจากราคาน้ำมันดิบ WTI ดิ่งลงอย่างหนักถึง 5% อันเนื่องมาจากข่าวการผลิตน้ำมันเพิ่มขึ้นของซาอุดิอาระเบีย และข่าวลิเบียเริ่มกลับมาดำเนินการผลิตและส่งออกอีกครั้ง โดยหุ้นเอ็กซอน โมบิล ร่วงลง 1.3% หุ้นเชฟรอน ดิ่งลง 3.2% หุ้นเชซาพีค เอนเนอร์จี ร่วงลง 4.6% หุ้นเดวอน เอนเนอร์จี ดิ่งลง 3.3% หุ้นมาราธอน ออยล์ ลดลง 3% หุ้นอ็อคซิเดนเชียล ปิโตรเลียม ร่วงลง 2.1% และหุ้นฮัลลิเบอร์ตัน ดิ่งลง 2.5%
หุ้นทเวนตี้ เฟิร์สต์ เซ็นจูรี ฟ็อกซ์ ร่วงลง 4% หลังจากฟ็อกซ์ได้ประกาศเพิ่มวงเงินซื้อหุ้นในบริษัทสกาย ซึ่งเป็นผู้ให้บริการเครือข่ายเคเบิลทีวีของยุโรป สู่ระดับ 3.25 หมื่นล้านดอลลาร์ สูงกว่าข้อเสนอของคอมแคสต์ที่ระดับ 3.1 หมื่นล้านดอลลาร์ และสูงกว่าวงเงินเดิมที่ฟ็อกซ์เคยเสนอที่ระดับ 2.58 หมื่นล้านดอลลาร์ในเดือนธ.ค.2559
นักลงทุนยังจับตาการเปิดเผยผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในสัปดาห์นี้ ซึ่งรวมถึงเจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค, เวลส์ ฟาร์โก และซิตี้กรุ๊ป ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าผลประกอบการในไตรมาส 2 ของบริษัทจดทะเบียนในสหรัฐจะเพิ่มขึ้น 20% หลังจากที่พุ่งขึ้น 24% ในไตรมาสแรก
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจที่มีการเปิดเผยล่าสุดและมีผลต่อภาวะการซื้อขายเมื่อคืนนี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ดีดตัวขึ้น 0.3% ในเดือนมิ.ย.เมื่อเทียบรายเดือน ซึ่งสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 0.2% และหากเทียบเป็นรายปี ดัชนี PPI พุ่งขึ้น 3.4%  ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนพ.ย.2554 และมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 3.2%
ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจด้านอื่นๆของสหรัฐที่มีกำหนดเปิดเผยในสัปดาห์นี้ ได้แก่ ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนมิ.ย., จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ราคานำเข้าและส่งออกเดือนมิ.ย. และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนก.ค.จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน
--อินโฟเควสท์
OO11122

ooKbee1

corehoon NEW2

 

 

ข่าวล่าสุด!!