หมวดหมู่: หุ้นเด่นวันนี้
12
ภาวะตลาดหุ้นไทย: แนวโน้มดัชนีเช้านี้ลุ้นรีบาวด์ หลังดาวโจนส์ฟิวเจอร์พุ่ง-เงินเฟ้อสหรัฐฯออกมาต่ำกว่าคาดช่วยลดแรงกดดัน
 
นายถนอมศักดิ์ สหรัตน์ชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการและหัวหน้าฝ่ายวิจัย บล.เคที ซีมิโก้ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดว่าจะรีบาวด์ขึ้น แม้ว่าดาวโจนส์เมื่อคืนที่ผ่านมาจะปรับตัวลงแรง แต่เช้านี้ดาวโจนส์ฟิวเจอร์บวกได้กว่า 100 จุด และอัตราผลตอบแทนพันธบัตร (Bond Yield) ของสหรัฐฯก็อ่อนตัวลงมา หลังจากที่เงินเฟ้อสหรัฐฯออกมาต่ำกว่าที่คาดไว้ ทำให้แรงกดดันลดลง นักลงทุนเริ่มคลายวิตก โดยตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้เคลื่อนไหวทั้งในแดนบวก-ลบ
 
สำหรับนักลงทุนต่างชาติที่ขายสุทธิเมื่อวานนี้กว่าหมื่นล้านบาท แต่ SET50 Future ก็ได้มีการทำ Long ไว้มาก แสดงให้เห็นว่าเงินไม่ได้ออกไป จึงคิดว่าหุ้นไทยน่าจะมีลุ้นรีบาวด์ได้
 
ทั้งนี้ ในช่วงเปิดเทรดมาตลาดฯอาจจะบวกได้ก่อน และรอดูท่าทีตลาดฯอีกที เนื่องจากตลาดบ้านเราจะปิดทำการ 3 วัน พร้อมให้ติดตามตัวเลขดุลการค้าของจีนในวันนี้
 
พร้อมให้แนวรับ 1,673-1,666 จุด ส่วนแนวต้าน 1,695-1,700 จุด
ประเด็นพิจารณาการลงทุน
- ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (11 ต.ค.61) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 25,052.83 จุด ร่วงลง 545.91 จุด (-2.13%) ขณะที่ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,728.37 จุด ลดลง 57.31 จุด (-2.06%) และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,329.06 จุด ลดลง 92.99 จุด (-1.25%)
 
- ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น ลดลง 267.43 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน ลดลง 9.42 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง เพิ่มขึ้น 135.04 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวัน เพิ่มขึ้น 5.47 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ เพิ่มขึ้น 1.99 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ เพิ่มขึ้น 7.78 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซีย ลดลง 4.57 จุด, ดัชนี PSE Composite ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ ลดลง 11.49 จุด
 
- ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (11 ต.ค.61) 1,682.89 จุด ลดลง 38.93 จุด (-2.26%)
- นักลงทุนต่างชาติต่างชาติขายสุทธิ 10,551.27 ล้านบาท เมื่อวันที่ 11 ต.ค.61
- ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน พ.ย.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (11 ต.ค.61) ปิดที่ 70.97 ดอลลาร์/บาร์เรล ร่วงลง 2.20 ดอลลาร์ หรือ 3.01%
 
- ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (11 ต.ค.61) ที่ 5.22 ดอลลาร์/บาร์เรล
- เงินบาทเปิด 32.67 แข็งค่าจากวานนี้ หลังตัวเลข CPI สหรัฐออกมาต่ำกว่าคาดฉุดดอลลาร์อ่อนค่า
- "สมคิด"ถกผู้บริหาร ปตท.-กระทรวงพลังงาน สั่งหามาตรการดูแลราคาน้ำมันขาขึ้น ลดผลกระทบผู้มีรายได้น้อย พยุงราคาเชื้อเพลิง"แท็กซี่จักรยานยนต์" ขีดเส้นคลอดมาตรการใน 3 เดือน ด้าน"ศิริ"เล็งใช้กองทุนน้ำมันฯ อุ้มจักรยานยนต์รับจ้าง ใช้แก๊สโซฮอล์ 95 ต่ำกว่าปกติ 3 บาทต่อลิตร ศึกษาเสร็จ ธ.ค.นี้ เล็งลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันอุ้มดีเซล ด้านมติ กบง.เท 2.4 หมื่นล้านคุมดีเซลไม่เกิน 30 บาท
 
- สมาคมตลาดตราสารหนี้ คาดยอดออกหุ้นกู้ปีนี้พุ่งแตะ 8.8 แสนล้าน ทำสถิติสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์ ชี้จากแนวโน้มดอกเบี้ยขาขึ้น ภาคเอกชน แห่ล็อกต้นทุน ขณะบจ.ใหญ่ ระดมเงินซื้อกิจการในต่างประเทศ เผยยอดออกหุ้นกู้ ปัจจุบันรวมกว่า 7.1 แสนล้าน เพิ่มขึ้นกว่า 19%
 
- แบงก์รัฐแจงไม่สามารถใช้เกณฑ์คุมกู้บ้านหลังสองได้ ห่วงกระทบผู้มีรายได้น้อย ชี้ ธปท.ต้องกำหนดนิยามหลักเกณฑ์ให้ชัดเจน เอกชนค้านคุมสินเชื่อบ้านหลังสอง พร้อมเสนอให้คุมกู้บ้านหลังสาม-เลื่อนเวลาใช้มาตรการ
 
*หุ้นเด่นวันนี้
- TISCO (ฟินันเซีย ไซรัส) "ซื้อ"เป้า 98 บาท รายงานกำไรสุทธิ Q3/61 ที่ 1.8 พันล้านบาท +6.2% Q-Q, +15.4% Y-Y ดีกว่าคาด เนื่องจากมีการบันทึกกำไรจากการขายธุรกิจบัตรเครดิตราว 200 ล้านบาท หากหักรายการดังกล่าวออกกำไรจากการดำเนินงาน (PPOP) ก็ยังดีกว่าที่คาดไว้ เนื่องจากรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยสูงกว่าคาดส่วนใหญ่เกิดจากกำไรจากการขายเงินลงทุน NPL Ratio ทรงตัวที่ 2.7% ขณะที่ Coverage ratio แข็งแกร่งที่ 193.5% กำไร 9M61 อยู่ที่ 5.29 พันล้านบาท +15.8% Y-Y คิดเป็น 74.5% ของประมาณการกำไรทั้งปีที่ 7.1 พันล้านบาท
 
- AOT (ฟินันเซัย ไซรัส) "ซื้อ"เป้า 73 บาท แนวโน้มกำไรสุทธิ Q4/61 (ก.ค.-ก.ย.61) จะกลับมาโตแรง 30-35% Y-Y อยู่ที่ราว 5 พันล้านบาท จากฐานที่ต่ำในปีก่อน และจำนวนเที่ยวบินที่โตได้ 4-5% Y-Y แม้นักท่องเที่ยวจีนและรัสเซียจะยังชะลอ และเป็นหุ้นที่น่า Cover short มากที่สุด เพราะราคาหุ้นยัง Underperform SET50 อยู่ 3% และในรอบใน 1 เดือนที่ผ่านมาติดหนึ่งใน 10 หุ้นที่ถูก SBL สะสมมากที่สุด 895 ล้านบาท อีกทั้งในช่วง 5 วันทำการที่ผ่านมาเป็นหุ้นที่ NVDR ขายสะสมมากถึง 770 ล้านบาท ความเสี่ยงที่ต่างชาติจะขายอีกจึงจำกัด
 
- CPF (เมย์แบงก์ กิมเอ็ง) "ซื้อ"เป้า 31.50 บาท คาดกำไรสุทธิ Q3/61 ลดลงจากรายการพิเศษ แต่ผลการดำเนินงานปกติคาดจะเติบโตได้ดีเมื่อเทียบ QoQ และ YoY ตามไฮซีซั่นและราคาหมูเพิ่มขึ้นทั้งในไทยและเวียดนาม โดบยังคาดว่ากำไรปกติจะเติบโตดียิ่งขึ้นในปีหน้าจากธุรกิจหมูที่เข้าสู่แนวโน้มขาขึ้น ขณะที่ธุรกิจไก่ในไทยค่อย ๆ ฟื้นตัวเช่นเดียวกับ Bellsio
 
- KTB (กรุงศรี) "ซื้อ"เป้า 23 บาท เลือกเป็นหนึ่งใน top pick กลุ่มธนาคารเนื่องจากคาดว่าจะมีผลกำไรเติบโตโดดเด่นที่สุดในปีนี้และปีหน้าประมาณ 30%yoy และ 11%yoy ตามลำดับ เป็นผลจากสินเชื่อภาครัฐที่คาดว่าจะเร่งตัวขึ้นและได้ผลบวกจากแนวโน้มดอกเบี้ยขาขึ้น
 
 
ตลาดหุ้นเอเชียผันผวนเช้านี้ ขณะนักลงทุนจับตาข้อมูลเศรษฐกิจจีน
 
ตลาดหุ้นเอเชียเคลื่อนไหวทั้งในแดนบวกและลบในช่วงเช้าวันนี้ ขณะที่นักลงทุนยังคงวิตกกังวลเกี่ยวกับผลกระทบจากสงครามการค้า นอกจากนี้ แม้ว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐขยับลงหลังจากการเปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ที่ต่ำกว่าคาดเมื่อคืนนี้ แต่นักลงทุนมองว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรยังคงอยู่ในระดับที่สูง ซึ่งอาจเป็นปัจจัยที่ทำให้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย
 
ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ที่ 22,323.43 จุด ลดลง 267.43 จุด, -1.18% ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ที่ 2,574.04 จุด ลดลง 9.42 จุด, -0.36% ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ที่ 25,401.41 จุด เพิ่มขึ้น 135.04 จุด, +0.53% ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวันเปิดวันนี้ที่ 9,811.58 จุด เพิ่มขึ้น 5.47 จุด, +0.06% ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้เปิดวันนี้ที่ 2,131.66 จุด เพิ่มขึ้น 1.99 จุด, +0.09% ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์เปิดวันนี้ที่ 3,055.17 จุด เพิ่มขึ้น 7.78 จุด, +0.26% ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซียเปิดวันนี้ที่ 1,703.92 จุด ลดลง 4.57 จุด, -0.27% ดัชนี PSE Composite ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์เปิดวันนี้ที่ 6,872.89 จุด ลดลง 11.49 จุด, -0.17%
 
นอกจากนี้ นักลงทุนยังจับตาข้อมูลเศรษฐกิจจีนที่จะมีการเปิดเผยในวันนี้ ได้แก่ ยอดส่งออก ยอดนำเข้า และดุลการค้าเดือนก.ย., ยอดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) เดือนก.ย. และยอดปล่อยเงินกู้สกุลเงินหยวนเดือนก.ย.
 
 
ภาวะตลาดหุ้นลอนดอน: ฟุตซี่ปิดร่วง 138.81 จุด หลังตลาดหุ้นยุโรป-สหรัฐดิ่งหนัก
 
ตลาดหุ้นลอนดอนปิดร่วงลงเกือบ 2% เมื่อคืนนี้ (11 ต.ค.) ตามทิศทางตลาดหุ้นอื่นๆของยุโรปและสหรัฐที่ร่วงลงอย่างหนัก ท่ามกลางความวิตกกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของสงครามการค้าและอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐที่ยังคงอยู่ในระดับสูง
 
ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,006.93 จุด ลดลง 138.81 จุด หรือ -1.94%
 
 
ตลาดหุ้นลอนดอนปรับตัวลงตามทิศทางตลาดหุ้นอื่นๆทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นสหรัฐที่ดิ่งลงกว่า 500 จุดเมื่อคืนนี้ เนื่องจากความกังวลที่ว่า สงครามการค้าอาจส่งผลกระทบต่อผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน รวมทั้งอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐที่ยังคงอยู่ในระดับสูง และอาจเป็นปัจจัยที่ทำให้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย
 
หุ้นบาร์แรทท์ ดิเวลลอปเมนท์ ร่วงลง 12.14% ซึ่งเป็นการปรับตัวลงหนักสุดในบรรดาหุ้นบลูชิพที่คำนวณในดัชนี FTSE 100
ขณะที่หุ้นฮาร์เกรฟ แลนส์ดาวน์ ซึ่งเป็นผู้ให้บริการด้านการเงินรายใหญ่ ดิ่งลง 5.01%
ส่วนหุ้นที่ดีดตัวขึ้นเมื่อคืนนี้ หุ้นเฟรสนิลโล ซึ่งเป็นบริษัทเหมืองแร่ พุ่งขึ้น 8.6% หุ้นแรนด์โกลด์ รีซอสเซส พุ่งขึ้น 8.3% และหุ้นโอคาโด กรุ๊ป
 
 
ภาวะตลาดหุ้นยุโรป: หุ้นยุโรปปิดร่วง เหตุวิตกตลาดหุ้นสหรัฐดิ่งหนัก
 
ตลาดหุ้นยุโรปปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้ (11 ต.ค.) โดยได้รับแรงกดดันจากการดิ่งลงอย่างหนักของตลาดหุ้นสหรัฐ อันเนื่องมาจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของสงครามการค้าและอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐที่ยังคงอยู่ในระดับสูง ขณะที่ตลาดหุ้นอิตาลีร่วงลง ท่ามกลางความวิตกกังวลเกี่ยวกับการขาดดุลงบประมาณของรัฐบาลอิตาลี
 
ดัชนี Stoxx Europe 600 ร่วงลง 1.98% ปิดที่ 359.65 จุด ซึ่งเป็นการปรับตัวลงในวันเดียวที่หนักที่สุดนับตั้งแต่วันที่ 25 มิ.ย.ปีนี้
 
 
ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดวันที่ 11,539.35 จุด ลดลง 173.15 จุด หรือ -1.48% ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 5,106.37 จุด ลดลง 99.84 จุด หรือ -1.92% ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,006.93 จุด ลดลง 138.81 จุด หรือ -1.94%
 
ตลาดหุ้นยุโรปยังคงได้รับแรงกดดันจากตลาดหุ้นทั่วโลกและตลาดหุ้นสหรัฐที่ดิ่งลงอย่างหนัก โดยเมื่อคืนนี้ ดัชนีดาวโจนส์ดิ่งลงกว่า 500 จุด เนื่องจากความกังวลที่ว่าสงครามการค้าอาจส่งผลกระทบต่อผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน โดยเมื่อวันพุธที่ผ่านมา ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ขู่ว่าจะเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนอีก 2.67 แสนล้านดอลลาร์ หากจีนทำการตอบโต้ต่อการเรียกเก็บภาษีก่อนหน้านี้ของสหรัฐ
 
นอกจากนี้ แม้ว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐประเภทอายุ 10 ปี ปรับตัวลงสู่ระดับ 3.157% เมื่อคืนนี้ หลังสหรัฐเผยดัชนี CPI เดือนก.ย.เพิ่มขึ้น 0.1% เมื่อเทียบรายเดือน ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 0.2% แต่นักลงทุนกังวลว่า อัตราผลตอบแทนพันธบัตรยังคงเคลื่อนไหวในระดับที่สูง และจะเป็นปัจจัยที่ผลักดันให้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เร่งการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย
 
ส่วนดัชนี FTSE MIB ตลาดหุ้นอิตาลีดิ่งลง 1.8% เนื่องจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับการขาดดุลงบประมาณของรัฐบาลอิตาลียังคงสร้างแรงกดดันต่อตลาด โดยแม้ว่ารัฐบาลอิตาลีประกาศปรับลดเป้าหมายการขาดดุลงบประมาณในปี 2563 ลงเหลือ 2.1% และลดเป้าหมายการขาดดุลงบประมาณในปี 2564 ลงเหลือ 1.8% ของตัวเลข GDP แต่รัฐบาลยังคงยืนยันที่จะกำหนดเป้าหมายการขาดดุลงบประมาณในปี 2562 เอาไว้ที่ 2.4% ของตัวเลข GDP แม้สหภาพยุโรปได้ออกมาเตือนว่า เป้าหมายการขาดดุลในปี 2562 นั้นสูงกว่าเป้าหมายของรัฐบาลชุดก่อนถึง 3 เท่า
 
หุ้นกลุ่มพลังงานร่วงลงตามทิศทางราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก โดยหุ้นโททาล ร่วงลง 3.4% หุ้นบีพี ดิ่งลง 2.6% หุ้นรอยัล ดัทช์ เชลล์ ร่วงลง 3%
ส่วนหุ้นตัวอื่นๆที่ปรับตัวลงเมื่อคืนนี้ หุ้นยูบีเอส กรุ๊ป ร่วงลง 3.6% ขณะที่หุ้นซูริค อินชัวรันส์ ดิ่งลง 3.8% และหุ้นโนวาร์ติส เอจี ร่วงลง 3.6%
 
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจของประเทศยุโรปที่มีการเปิดเผยล่าสุด สำนักงานสถิติแห่งชาติฝรั่งเศส (Insee) ระบุว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ของฝรั่งเศสลดลง 0.2% ในเดือนก.ย. เมื่อเทียบรายเดือน หลังจากเพิ่มขึ้น 0.5% ในเดือนส.ค. โดยการชะลอตัวของดัชนี CPI ในเดือนก.ย.เกิดจากลดลงของค่าใช้จ่ายในภาคบริการ แม้ว่าการใช้จ่ายในภาคการผลิตปรับตัวขึ้น
 
ทั้งนี้ รัฐบาลฝรั่งเศสตั้งเป้าที่จะลดตัวเลขดัชนี CPI สู่ระดับ 1.4% ในปีหน้า
 
 
ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก: ดาวโจนส์ปิดร่วง 545.91 จุด วิตกสงครามการค้า,บอนด์ยีลด์สูงหนุนเฟดเร่งขึ้นดอกเบี้ย
 
ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้ (11 ต.ค.) เนื่องจากนักลงทุนกังวลว่า สงครามการค้าอาจส่งผลกระทบต่อผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน นอกจากนี้ แม้ว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐขยับลงหลังจากการเปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ที่ต่ำกว่าคาดเมื่อคืนนี้ แต่นักลงทุนมองว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรยังคงอยู่ในระดับที่สูง ซึ่งอาจเป็นปัจจัยที่ทำให้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย
 
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 25,052.83 จุด ร่วงลง 545.91 จุด หรือ -2.13% ขณะที่ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,728.37 จุด ลดลง 57.31 จุด หรือ -2.06% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,329.06 จุด ลดลง 92.99 จุด หรือ -1.25%
 
ตลาดหุ้นนิวยอร์กร่วงลงอย่างต่อเนื่อง ท่ามกลางความวิตกกังวลเกี่ยวกับทิศทางอัตราดอกเบี้ย โดยแม้ว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐประเภทอายุ 10 ปี ปรับตัวลงสู่ระดับ 3.157% เมื่อคืนนี้ หลังสหรัฐเผยดัชนี CPI เดือนก.ย.เพิ่มขึ้น 0.1% เมื่อเทียบรายเดือน ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 0.2% แต่นักลงทุนมองว่า อัตราผลตอบแทนพันธบัตรยังคงเคลื่อนไหวในระดับที่สูง และจะเป็นปัจจัยที่ผลักดันให้เฟดเร่งการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย
 
นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับปัจจัยกดดันจากความกังวลที่ว่า สงครามการค้าอาจส่งผลกระทบต่อผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน โดยเมื่อวันพุธที่ผ่านมา ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ขู่ว่าจะเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนอีก 2.67 แสนล้านดอลลาร์ หากจีนทำการตอบโต้ต่อการเรียกเก็บภาษีก่อนหน้านี้ของสหรัฐ
 
ทางด้านนางคริสทีน ลาการ์ด ผู้อำนวยการกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ได้เตือนในระหว่างการแถลงในที่ประชุมประจำปีของ IMF ที่อินโดนีเซียเมื่อวานนี้ว่า ความตึงเครียดด้านการค้าจะฉุดรั้งการเติบโตของเศรษฐกิจโลก และจะส่งผลทำให้ประเทศที่ไม่เกี่ยวข้องได้รับผลกระทบไปด้วย
 
หุ้นกลุ่มพลังงานร่วงลงหลังจากราคาน้ำมันดิบ WTI ดิ่งลงถึง 3% เมื่อคืนนี้ โดยหุ้นเอ็กซอน โมบิล และหุ้นเชฟรอน ต่างก็ร่วงลง 3.4% หุ้นเชซาพีค เอนเนอร์ยี ดิ่งลง 5.2% หุ้นอ็อคซิเดนเชียล ปิโตรเลียม ร่วงลง 1.8% หุ้นเดวอน เอนเนอร์จี ดิ่งลง 3.3% และหุ้นฮัลลิเบอร์ตัน ร่วงลง 2.2%
 
หุ้นกลุ่มประกันร่วงลงเนื่องจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับความเสียหายที่เกิดขึ้นจากพายุเฮอร์ริเคน "ไมเคิล" โดยหุ้นทราเวลเลอร์ส คอมพานีส์ ปรับตัวลง 3% หุ้นออลสเตท คอร์ป ดิ่งลง 3.8%
 
หุ้นกลุ่มธนาคารปรับตัวลง ก่อนที่ธนาคารรายใหญ่ของสหรัฐจะเปิดเผยผลประกอบการรายไตรมาส โดยหุ้นแบงก์ ออฟ อเมริกา ร่วงลง 2.9% หุ้นโกลด์แมน แซคส์ ลดลง 0.9% หุ้นมอร์แกน สแตนลีย์ ร่วงลง 2.5% หุ้นเวลส์ ฟาร์โก ลดลง 1.9% หุ้นเจพีมอร์แกน เชส ร่วงลง 3% และหุ้นซิตี้กรุ๊ป ดิ่งลง 2.2%
 
หุ้นเทสลา ร่วงลง 1.8% หลังจากนายอีลอน มัสก์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของเทสลา ได้ออกมาปฏิเสธรายงานข่าวของสื่อที่ว่า นายเจมส์ เมอร์ด็อค ซีอีโอของบริษัท ทเวนตี้-เฟิร์สท์ เซ็นจูรี่ ฟ็อกซ์ จะเข้ามาดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมการบริหารของเทสลา
 
หุ้นเซียร์ส โฮลดิ้งส์ ซึ่งเป็นห้างสรรพสินค้าชื่อดังของสหรัฐ และเป็นเจ้าของห้างเซียร์ส และเคมาร์ท ร่วงลงอย่างหนักถึง 29.7% หลังจากหนังสือพิมพ์วอลล์สตรีท เจอร์นัล รายงานว่า เซียร์สไม่สามารถบรรลุข้อตกลงกับธนาคารเจ้าหนี้เกี่ยวกับการขอเงินกู้เพิ่มเติม ซึ่งจะผลักดันให้เซียร์สเข้าสู่กระบวนการล้มละลาย โดยเซียร์สอาจยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อขอพิทักษ์ทรัพย์ตามกฎหมายล้มละลายในวันที่ 15 ต.ค. อย่างไรก็ตาม เซียร์สเตือนว่า ทางบริษัทอาจผิดนัดชำระหนี้จำนวน 134 ล้านดอลลาร์ที่มีกำหนดชำระในวันดังกล่าว
 
หุ้นเดลต้า แอร์ไลน์ อิงค์ ซึ่งเป็นสายการบินที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ของสหรัฐ ทะยานขึ้น 3.5% หลังจากบริษัทเปิดเผยกำไรในไตรมาส 3 ที่ระดับ 1.80 ดอลลาร์/หุ้น สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ 1.74 ดอลลาร์/หุ้น และรายได้เพิ่มขึ้น 8% สู่ระดับ 1.195 หมื่นล้านดอลลาร์
 
หุ้นแอล แบรนด์ส ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของแบรนด์ชุดชั้นใน "Victoria's Secret" พุ่งขึ้น 5.9% หลังจากบริษัทเปิดเผยยอดขายในเดือนก.ย.เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบเป็นรายปี
 
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจที่มีการเปิดเผยเมื่อคืนนี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐระบุว่า จำนวนชาวอเมริกันที่ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกเพิ่มขึ้น 7,000 ราย สู่ระดับ 214,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลงสู่ระดับ 206,000 ราย
 
ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจด้านอื่นๆของสหรัฐที่มีกำหนดเปิดเผยในวันนี้ได้แก่ ราคานำเข้าและส่งออกเดือนก.ย., ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคขั้นต้นเดือนต.ค.จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน
--อินโฟเควสท์
OO14952

ooKbee1

corehoon NEW2

 

 

ข่าวล่าสุด!!