หมวดหมู่: บริษัทจดทะเบียน

BPP สธ สขเรอน


BPP คาด EBITDA ปี 62 โตกว่าปีนี้, วางงบลงทุน 200-300 ล้านเหรียญฯ รองรับโซลาร์ฟาร์ม-ถ่านหิน 1.4 MW

        นายสุธี สุขเรือน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.บ้านปู เพาเวอร์ (BPP) กล่าวว่า บริษัทคาดกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี และค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ในปี 62 จะเติบโตดีกว่าปีนี้ จากการจำหน่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) เพิ่มอีก 312 เมกะวัตต์ ได้แก่ โรงไฟฟ้า SLG 1 ขนาดกำลังการผลิต 198 เมกะวัตต์, โครงการ Luannan 3 ขนาดกำลังการผลิต 52 เมกะวัตต์ และโครงการโซลาร์ฟาร์มในประเทศญี่ปุ่น ขนาดกำลังการผลิต 62 เมกะวัตต์ ซึ่งจะส่งผลทำให้บริษัทฯ จะมีกำลังการผลิตเพิ่มมาอยู่ที่ 2.46 พันเมกะวัตต์

       ส่วนแผนการปิดซ่องบำรุงในปี 62 บริษัทจะปิดซ่อมบำรุงโรงไฟฟ้าหงสา ประเทศลาว หน่วยที่1 เป็นระยะเวลา 17 วันในไตรมาส 1/62 ส่วนหน่วยที่ 2 และ 3 จะทำการปิดซ่อมบำรุงในช่วงไตรมาส 4/62 อีกทั้งจะปิดซ่อมบำรุงในโรงไฟฟ้า BLCP ทั้ง 2 หน่วย เป็นระยะเวลา 17 วัน ภายในช่วงไตรมาส 4/62

      สำหรับ ผลการดำเนินงานในไตรมาส 4/61 บริษัทคาดว่าจะออกมาดีกว่าไตรมาส 3/61 โดยจะสามารถจำหน่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) โรงไฟฟ้า Nari Aizu ขนาดกำลังการผลิต 20 เมกะวัตต์ ในวันที่ 1 ธ.ค.61 คิดเป็นกำลังการผลิตติดตามสัดส่วนการถือหุ้น 15 เมกะวัตต์ จากที่บริษัทถือหุ้นในสัดส่วน 75% ซึ่งจะส่งผลให้สิ้นปีนี้บริษัทฯ จะมีกำลังการผลิตไฟฟ้าที่จำหน่ายเข้าสู่ระบบ (COD) รวมทั้งสิ้น 2.14 พันเมกะวัตต์

      ปัจจุบันบริษัทมีกำลังผลิตตามสัดส่วนการลงทุนของโรงไฟฟ้าพลังงานเชื้อเพลิงทั่วไปและพลังงานหมุนเวียนที่เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ (COD) รวมอยู่ที่ 2.12 เมกะวัตต์ และอยู่ระหว่างการพัฒนาเพิ่มเติมอีก 740 เมกะวัตต์ โดยคาดว่าจะ COD ได้หมดในปี 66 และจะทำให้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 2.86 พันเมกะวัตต์ โดยจะเป็นพลังงานหนุนเวียน (Renewable) ราว 16% และมั่นใจภายในปี 68 จะมีกำลังการผลิตทั้งสิ้น 4.3 พันเมกะวัตต์ ซึ่งเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้

      อย่างไรก็ตาม บริษัทมีกำลังการผลิตในมือในขณะนี้แล้ว 2.87 พันเมกะวัตต์ โดยจะเหลืออีก 1.4 พันเมกะวัตต์ เพื่อไปสู่เป้าหมายที่วางไว้ในปี 68 ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างศึกษาเข้าลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหิน และโรงไฟฟ้าโซลาร์ฟาร์มเพิ่มเติมอีก โดยมีความสนใจในประเทศเวียดนาม ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย รวมถึงประเทศญี่ปุ่น จีน และไทย เป็นต้น วางงบลงทุนไว้ที่ 200-300 ล้านเหรียญสหรัฐ

      ขณะที่ปัจจุบันบริษัทถือว่ามีหนี้สินต่อทุน (D/E) อยู่ในระดับต่ำ หรืออยู่ที่ 0.13 เท่า ซึ่งสามารถรองรับการลงทุนได้อีกมาก โดยตั้งเป้า D/E ไม่ให้เกิน 1.75 เท่า

      "การพิจารณาการลงทุนเราก็มีการดูในเรื่องของผลตอบแทนจากการลงทุน IRR อยู่แล้ว ซึ่ง IRR จะต้องเป็นที่น่าพอใจ โดยขณะนี้เราก็โฟกัสไปที่ประเทศเวียดนาม และฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย ที่มีการใช้ถ่านหินค่อนข้างมาก ขณะที่ยังมองโอกาสการขยายการลงทุนโรงไฟฟ้าโซลาร์ฟาร์มในประเทศญี่ปุ่นเพิ่มเติมอีก รวมถึงจีน และไทยด้วย อย่างไรก็ตามปัจจุบันเรามีสัดส่วนกำไรจากประเทศไทยและจีน ราว 30%, ลาว 35%, และที่เหลือมาจากประเทศญี่ปุ่น"

               อินโฟเควสท์

ooKbee1

corehoon NEW2

 

 

ข่าวล่าสุด!!