หมวดหมู่: หุ้นเด่นวันนี้
SET56
ภาวะตลาดหุ้นไทย: แนวโน้มดัชนีเช้านี้ปรับฐาน เล็งปัจจัยตปท.กดดัน จับตาสภาอังกฤษโหวตข้อตกลง Brexit-สถานการณ์ชัตดาวน์ในสหรัฐฯ
 
นักวิเคราะห์ฯคาดตลาดหุ้นไทยเช้านี้ปรับฐานต่อเนื่องจากวานนี้ รอดูปัจจัยจากต่างประเทศ ทั้งกรณีโหวตเสียงร่างข้อตกลง Brexit ของรัฐสภาอังกฤษในวันนี้ รวมถึงติดตามความคืบหน้าการปิดหน่วยงานรัฐบาล(ชัตดาวน์)ของสหรัฐฯ ขณะที่ตลาดหุ้นภูมิภาคเช้านี้เคลื่อนไหวทั้งในแดนบวกและลบ ส่วนปัจจัยในประเทศก็ยังไม่มีความชัดเจนในการกำหนดวันเลือกตั้ง ทำให้ปัจจัยต่าง ๆ ยังคงกดดันต่อภาพรวมการลงทุน โดยมองแนวรับที่บริเวณ 1,575 จุด และแนวต้านที่ 1,595 จุด
 
นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการสายงานวิจัย บล.เอเซีย พลัส กล่าวว่า แนวโน้มการเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นไทยเช้านี้ จะยังอยู่ในช่วงปรับฐาน เนื่องจากคาดว่าจะยังรับแรงกดดันจากปัจจัยต่างประเทศเป็นหลัก หลังนักลงทุนยังรอดูรัฐสภาอังกฤษ ซึ่งจะลงมติต่อร่างข้อตกลงการแยกตัวของอังกฤษออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) ในวันนี้ (15 ม.ค.) ท่ามกลางสัญญาณที่ออกมาไม่ค่อยดีนัก รวมถึงยังต้องติดตามเรื่องการชัตดาวน์ของสหรัฐฯที่ยังคงยืดเยื้อด้วย ส่วนตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้ เคลื่อนไหว ทั้งในแดนบวก และลบ
 
ส่วนปัจจัยในประเทศ นักลงทุนยังรอดูความคืบหน้าการเลือกตั้ง ซึ่งล่าสุดก็ยังไม่มีการกำหนดวันเลือกตั้งออกมาชัดเจน
พร้อมให้แนวรับ 1,575 จุด ส่วนแนวต้าน อยู่ที่ 1,595 จุด
ประเด็นพิจารณาการลงทุน
- ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (14 ม.ค.62) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 23,909.84 จุด ลดลง 86.11 จุด (-0.36%) ขณะที่ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,582.61 จุด ลดลง 13.65 จุด (-0.53%) และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 6,905.92 จุด ลดลง 65.56 จุด (-0.94%)
 
- ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น ลดลง 94.88 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน เพิ่มขึ้น 1.60 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง เพิ่มขึ้น 220.29 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวัน ลดลง 6.29 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ เพิ่มขึ้น 4.62 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ เพิ่มขึ้น 17.89 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซีย ลดลง 1.33 จุด, ดัชนี PSE Composite ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ ลดลง 15.06 จุด
 
- ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (14 ม.ค.62)  1,582.57 จุด ลดลง 14.47 จุด (-0.91%)
- นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 1,195.36 ล้านบาท เมื่อวันที่ 14 ม.ค.62
- ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน ก.พ. ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (14 ม.ค.62) ปิดที่ 50.51 ดอลลาร์/บาร์เรล ลดลง 1.08 ดอลลาร์ หรือ 2.1%
 
- ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (14 ม.ค.62) ที่ 3.20 ดอลลาร์/บาร์เรล
- เงินบาทเปิด 31.85/86 แนวโน้มยังแข็งค่าต่อ จับตากรณี Brexit-ข้อมูลศก.สหรัฐฯ มองกรอบวันนี้ 31.80-31.95
- จับตาบิ๊กดีลควบรวม "ทีเอ็มบี-ธนชาต" จบเร็วๆ นี้ วงการเผยจ่อเซ็นเอ็มโอยูสิ้นเดือน ม.ค. โดยหลังควบรวม ยังใช้ชื่อ "ทีเอ็มบี" ขณะบริษัทย่อยของธนชาต เลือกมาเพียงบางกิจการเท่านั้น ยืนยันไม่มีปลด-ลดคน ด้าน ธนชาต ปรับทัพรองรับการควบกิจการ "นักวิเคราะห์" มั่นใจทุกฝ่าย ได้ประโยชน์ เหตุฐานลูกค้าคนละกลุ่ม เชื่อต้นทุนต่ำลงหลังควบรวม
 
- ค่ายรถมองต่างตลาดรถยนต์ปีนี้ หลังปี 2561 โตแรงกว่า 20% เชฟโรเลต ระบุปัจจัยลบมีทั้งภายนอก-ภายใน สงครามการค้า ส่งออก สินค้าเกษตร ฉุดตลาด ด้านฮอนด้า ฟอร์ด เชื่อยังโตได้เล็กน้อย 4-5% ระบุได้แรงหนุนจากโมเมนตัมตลาด ภาพรวมเศรษฐกิจ การลงทุนรัฐ เดินหน้าวางแผนธุรกิจสอดคล้องความต้องการลูกค้า ทั้งประเภทรถ กิจกรรมการตลาด
 
- กยท.กำหนดยุทธศาสตร์ 20 ปียางพาราให้ ลดพื้นที่ปลูกเหลือ 18.4 ล้านไร่ เพิ่มผลผลิตต่อไร่เป็น 360 กิโลกรัม เพิ่มสัดส่วนการใช้ในประเทศ เป็น 35% สร้างมูลค่าผลิตภัณฑ์ ยางแตะ 8 แสนล้าน เกษตรกร รายได้เพิ่ม 1.98 หมื่นต่อไร่ ต่อปี พร้อมตั้งนิคมยางที่ระยองรับอีอีซี
 
- แบงก์ชาติ ระบุปี 2562 ระบบเศรษฐกิจการเงินไทยยังมีความเสี่ยง จากการเชื่อมโยงกับระบบการเงินโลก และการก้าวหน้าของนวัตกรรมทางการเงินและเทคโนโลยี ย้ำแบงก์ชาติ ก.ล.ต. คปภ. หน่วยงานกำกับดูแลสถาบันการเงิน เตรียมเครื่องมือพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงและดูแลติดตามความผันผวนอย่างใกล้ชิด
 
- เลื่อนประชุมรถไฟไทย-จีน ครั้งที่ 27 ปลาย ก.พ. ยืดเซ็นสัญญา 2.3 (สัญญาระบบและขบวนรถ) ลุ้นจีนยอมลดดอกเบี้ย 2.6% ส่วนทีโออาร์ประมูล ตอน 3-14 ยังทำไม่เสร็จ รฟท.ปรับแผนประมูลกลางปี เจอรายละเอียดอุโมงค์ต้องใช้เวลา
 
*หุ้นเด่นวันนี้
- BGRIM (กรุงศรี) "ซื้อ"เป้า 33 บาท เป็นทั้ง Defensive และ Growth stock มีรายได้สม่ำเสมอจากสัญญาระยะยาวกับลูกค้าและภาครัฐ ขณะที่ผลกำไรปีนี้คาดเพิ่มขึ้นแตะระดับ 3,000 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 46%yoy จากจำนวนเมกะวัตต์ ที่เพิ่มขึ้นและต้นทุนก๊าซธรรมชาติที่ลดลงตามราคาน้ำมัน
 
- RS (ฟินันเซีย ไซรัส) "ซื้อ"เป้า 18 บาท ผลจากการกระจายธุรกิจได้ดีทั้งเครื่องสำอาง อาการเสริม และสินค้า Lifestyle ทำให้คาดกำไรปี 2561 โต 34% Y-Y และปี 2562 โต 31% Y-Y โดดเด่นสุดในกลุ่ม ด้านราคาหุ้นทรุดจนทำให้ PE2562 เหลือเพียง 26 เท่า ต่ำกว่ากลุ่มที่ 30 เท่า ทั้งที่อัตราการเติบโตโดดเด่นกว่า นอกจากนี้ได้ Sentiment เชิงบวกจากมาตรการเยียวยารอบ 3 ของ กสทช. หากเกิดขึ้นคาดว่าจะเพิ่มมูลค่าอีก 1.50 บาทต่อหุ้น
 
- TISCO (แอพเพิล เวลธ์) "ทยอยซื้อเมื่ออ่อนตัว"เป้า 90 บาท รายงานกำไรปี 61 ที่ออกมาใกล้เคียงที่ตลาดคาด โดยคาดกำไรปี 62 ที่ 7.5 พันล้านบาท เติบโตได้ในอัตราที่ลดลงจาก +15%YoY เป็น +7%YoY จาก GDP growth ของปี 62 มีแนวโน้มชะลอลงและไม่มีกำไรจากการขายพอร์ต personal loan กับ credit card อย่างปีก่อน คาดสินเชื่อจะเติบโตได้ 3.3-3.5% พร้อมคาดปันผลของปี 61 ที่ 5.50 บาท คิดเป็น Dividend Yield 6.8%
--อินโฟเควสท์

ooKbee1

corehoon NEW2

 

 

ข่าวล่าสุด!!